ชีวิต...ที่มีเพียงลมหายใจ
วิชาญ อุ่นอก อาสาสมัครคนไร้บ้าน จ.กาญจนบุรี
การทำงานช่วยเหลือพี่น้องคนไร้บ้านของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยหลังจากที่มีการสำรวจคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยอาสาสมัครช่วยสำรวจแจงนับกว่า 500 คน จากองค์กรต่างๆ ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน กว่า 80 องค์กร พบว่าทุกจังหวัดของประเทศไทย "มีคนไร้บ้าน" มากน้อยตามความหนาแน่นของประชากร
จังหวัดที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยร่วมกับเครือข่ายคนไร้บ้าน ทำงานพัฒนาจนกระทั่งมีศูนย์พักสำหรับตั้งหลัก ตั้งตัว ของพี่น้องคนไร้บ้าน อยู่ 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร คือ ศูนย์พักสุวิทย์ วัดหนู , เชียงใหม่ คือ บ้านเตื่อมฝัน , ขอนแก่น คือ บ้านโฮมแสนสุข และปทุมธานี คือ บ้านพูนสุข และในช่วงวิกฤตโควิด19 ทางมูลนิธิฯได้ขยายพื้นที่การช่วยเหลือพี่น้องคนไร้บ้านไปยังจังหวัดต่างๆที่สามารถประสานองค์กรความร่วมมือได้ จึงได้ถือโอกาสทำงานพัฒนาด้านต่างๆกับพี่น้องคนไร้บ้านควบคู่ไปด้วย โดยเบื้องต้นตอนนี้มีทีมอาสาสมัครประจำช่วยเหลือในจังหวัดนนทบุรี , ระยอง , กาญจนบุรี และยะลา
นี่เป็นเรื่องเล่าส่วนหนึ่งของทีมอาสาสมัครในจังหวัดกาญจนบุรีที่ทำงานช่วยเหลือพี่น้องคนไร้บ้าน สื่อสารสภาพปัญหาให้รับรู้ และเป็นกระบอกเสียงให้กับพี่น้องคนไร้บ้าน ที่เสียงเบาบางมากในสังคม จุดเริ่มต้นจากการลงแจงนับ ขยับมาช่วยเหลือวิกฤตโควิด19 ยกระดับสร้างตัวตนให้คนไร้บ้านไม่ได้มีเพียงแค่ลมหายใจ สร้างตัวตนให้เป็นคนในเมืองกาญจน์ ในประเทศไทย
...เรื่องของตะวัน...
"นอกจากไม่มีบ้านแล้ว ผมยังไม่มีบัตรด้วย" ตะวันเล่าเรื่องเขาให้ฟัง ตะวันเป็นเด็กที่เติบโตมาจากแคมป์ก่อสร้างต้องย้ายที่อยู่ ไปเรื่อยๆตามผู้รับเหมาก่อสร้าง ตะวันต้องอยู่กับยายตั้งแต่เด็ก พ่อต้องติดคุกในคดีพรากผู้เยาว์(คือแม่ของตะวันเอง) พอตะวันเกิดมาไม่ถึงปีแม่ก็หนีไปมีสามีใหม่และไม่กลับมาอีกเลย ตะวันเลยต้องอยู่กับยายและโตมากับแคมป์ก่อสร้างตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุที่ต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ตอนเกิดตะวันก็ไม่ได้ไปแจ้งเกิดและไม่มีสูติบัตร
เมื่อพ่อออกจากคุกก็ออกตามหาตะวันจนเจอ และรับตะวันมาเลี้ยงตั้งแต่6ขวบ แต่ก็ยังยึดอาชีพรับเหมาก่อสร้างและพาตะวันตะลอนไปแทบทุกภาคของประเทศไทยเหมือนเดิม ช่วงใหนไม่มีงานก่อสร้างเคยอดข้าวทีละหลายๆวันก็มี ตะวันบอก
ตะวันมาอยู่กาญจนบุรีเมื่ออายุ13ปี โดยพ่อมารับจ้างทำแทงค์น้ำประปาของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ผู้รับเหมารับงานไว้ วันหนึ่งช่วงพักกลางวัน ตะวันแอบไปนั่งดูเด็กนักเรียนที่เขาเรียนกันหนังสือในห้อง
พอดีกับที่ภารโรงเดินมาเห็นและถามตะวันว่าอยากเรียนไหม? ตะวันก็ตอบว่า"อยากเรียน" ภารโรงเลยพาไปคุยกับ ผอ.โรงเรียน และผอ.ก็อนุญาตให้เรียนได้ และตะวันก็ได้มาเรียนกับเพื่อนทุกวัน แต่ก็ต้องเริ่มเรียน ป.1ตอนอายุ13ปี และใส่ชุดธรรมดามาโรงเรียนเพราะตะวันไม่มีชุดนักเรียนเหมือนเพื่อนงานก่อสร้างเสร็จแล้ว พ่อต้องย้ายไปที่อื่นแต่ตะวันอยากเรียนต่อ ผอ.เลยมาคุยกับพ่อตะวันว่าให้ตะวันอยู่ที่นี่ก็ได้เดี๋ยวจะช่วยดูแลให้ พอดีมีบ้านพักครูว่างอยู่หลังหนึ่งให้เขาพักที่นี่ก็ได้ พ่อตะวันจึงยอมให้ตะวันได้อยู่เรียนต่อ
ตะวันต้องอยู่เมืองกาญจน์คนเดียวโดยไม่มีพ่อ โดยผอ.กับกำนันในพื้นที่คอยอุปการะ ตะวันก็รับจ้างทั่วไป ใครมีอะไรให้ทำก็ทำหมด ตะวันตั้งใจเรียนพร้อมกับรับจ้างทำงานไปด้วยจนจบ ป.6 ตอนอายุ19ปีแต่ถึงแม้ตะวันจะเรียนจบป.6แล้วแต่ทางโรงเรียนก็ไม่สามารถออกวุฒิบัตรให้ได้เพราะตะวันไม่มีบัตรประชาชนไม่มีเลข13หลัก
ด้วยความอยากมีบัตร อยากเป็นคนไทย อยากได้วุฒิบัตรเพื่อไปเรียนต่อ หรืออย่างน้อยจะได้สมัครงานได้ ตะวันจึงตัดสินใจเดินทางเพื่อตามหาพ่ออีกครั้ง พ่อซึ่งไม่ได้ติดต่อมาหลายปีแล้ว ตะวันสืบจนรู้ว่าพ่ออยู่ที่เชียงใหม่ สิ่งที่ตะวันต้องการคือ ต้องการตรวจDNA.เพื่อยืนยันว่าเขากับพ่อของเขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ เพื่อที่จะเอาหลักฐานนี้ไปทำบัตรประชาชน
อย่าว่าแต่จะจ่ายค่าตรวจ DNA.ที่ต้องจ่ายคนละ8,000บาทเลย แม้แต่ค่ารถที่จะไปเชียงใหม่ก็ยังไม่มีเลย ตะวันเล่าความรู้สึกตอนนั้นให้ฟัง แต่โชคดีที่ได้การประสานงานจาก มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.)
โครงการคนไทยไร้สิทธิและการช่วยเหลือของคุณณัฐพงศ์ เหมือนรุ่ง ทำให้ตะวันได้เจอพ่ออีกครั้งและสามารถตรวจDNAโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผลการตรวจDNAก็ยืนว่าทั้ง2คนเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
โครงการคนไทยไร้สิทธิและการช่วยเหลือของคุณณัฐพงศ์ เหมือนรุ่ง ทำให้ตะวันได้เจอพ่ออีกครั้งและสามารถตรวจDNAโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผลการตรวจDNAก็ยืนว่าทั้ง2คนเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
ตะวันนำผลการตรวจDNA.จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มายื่นที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี จนถึงตอนนี้เวลาผ่านไป4เดือนเศษแล้วตะวันก็ยังไม่ได้บัตรประชาชน ทางอำเภอบอกว่าต้องสอบปากคำคนเพิ่มอีกหลายปาก ตั้งแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ตะวันอยู่ กำนัน ภารโรง ผอ.โรงเรียนซึ่งตอนนี้ก็สอบไปหมดแล้ว ทางอำเภอพึ่งมาบอกว่าต้องสอบพ่อของตะวันอีกครั้ง ที่หน้าเศร้าคือพ่อของตะวันไม่ได้อยู่ในเมืองกาญจน์ รู้ล่าสุดว่าอยู่แถวลาดกระบัง แต่ก็มาไม่ได้เพราะไม่มีเงิน และหัวหน้างานไม่ให้มาด้วย ตะวันเลยต้องรอต่อไป เพียงหวังในใจว่าอย่าเพิ่งให้ไซด์งานก่อสร้างของพ่อย้ายไปที่ใกลๆ ณ.ตอนนี้เลย
ตะวันมานั่งบ่นให้ฟังเมื่อเย็นวันหนึ่งว่าทำไมการทำบัตรประชาชนมันถึงยากอย่างนี้ ทั้งที่หลักฐานก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนไทยจริงๆ
นี่ถ้าผมไปทำอะไรผิดก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครทำไมไม่ทำให้ผมถูกกฏหมาย
มีเด็กเหมือนผมอีกหลายคนที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ จนหลายคนไม่อยากทำบัตรประชาชน จะไปทำงานอะไรก็ไม่ได้ สิทธิอะไรก็ไม่มี ชีวิตเขาก็ลำบาก และหลายคนก็เลือกที่จะเดินทางสายมืดเพราะออกมาที่สว่างไม่ได้ และเมื่อเด็กเหล่านี้ทำผิดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะไม่มีฐานข้อมูลอะไรเลย ตะวันทิ้งท้ายตอนจบว่า ทำไมเราไม่คิดช่วยเด็กเหล่านี้ให้เขาเข้าสู่ระบบหากเขาเป็นคนไทยจริงๆ หากปล่อยให้เขาเดินเรื่องเองไม่มีวันเลยที่เด็กอย่างเขาจะมีบัตรประชาชนได้
ปล. เจ้าตัว "ตะวัน" อนุญาตให้เล่าเรื่องราวของเขาให้คนอื่นฟังได้ โดยเขาบอกว่าอยากให้เรื่องของเขาเป็นบทเรียนเพื่อที่จะให้หน่วยงานต่างๆได้หามาตราการแก้ปัญหาเพื่อที่จะให้เด็กๆแบบเขาได้มีโอกาสเข้าถึงการมีบัตรประชาชนได้ง่ายกว่านี้ เครดิตจาก : วิชาญ อุ่นอก