คนไร้บ้าน...
ณ วันที่จะไม่ไร้ศักดิ์ศรี
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
“
เราเป็นคนจนจัด ไม่ใช่จรจัด ”
เป็นถ้อยคำที่กลุ่มคนไร้บ้านที่อาศัยพื้นที่สาธารณะ เป็นที่พักพิงใช้เรียกขานและนิยามตัวเอง
ความในประโยคดังกล่าวนอกจากจะเป็นการปฏิเสธต่อทัศนะดูหมิ่นดูแคลนของภาครัฐที่มองว่าพวกเขามีวิถีเสมือนสัตว์ชนิดหนึ่งแล้ว
ยังเป็นการสะท้อนถึงตัวตนความเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจของคนไร้บ้าน ที่สถานะของพวกเขาดำรงอยู่ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำทางสังคม เข้าไม่ถึงทรัพยากรของรัฐ และอยู่ชายขอบที่สุดของเมือง
ข้อมูลจากมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ทำการเดินสำรวจปริมาณคนไร้บ้านร่วมกับเครือข่ายสลัม
4 ภาค ใน 13 จุดใหญ่ๆของกรุงเทพฯเมื่อปี
2544 พบว่ามีจำนวนคนไร้บ้านประมาณ 1,500
คน แต่ทั้งนี้เป็นการสำรวจเฉพาะคนที่หลับนอนตามที่สาธารณะเท่านั้น
ไม่นับรวมกลุ่มคนขอทานที่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งในตอนกลางคืน
คนไร้บ้านถือกำเนิดมาจากหลายสาเหตุ
พี่น้องบางส่วนออกจากบ้านมาเพราะมีปัญหากับครอบครัว อยู่บ้านแล้วไม่สบายใจ ถูกดุด่าถูกทำร้าย หรือถูกมองว่าเป็นภาระโดยเฉพาะในรายที่สูงอายุ บางส่วนเลือกใช้ชีวิตแบบไร้บ้านเพราะรักอิสระและชอบเดินทางไปตามที่ต่างๆ คนไร้บ้านด้วยกันมักจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ คนเที่ยว ”
นอกจากนี้ปัญหาการตกงานภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดคนไร้บ้านไม่ว่าจะเป็นกรณีคนงานโรงงานที่ถูกปิดกิจการ หรือกรรมกรก่อสร้างตามแค้มป์ที่ไม่มีงานก่อสร้าง
คนเหล่านี้ยังชีพอยู่ด้วยอาชีพหลากหลาย ทั้งเก็บของเก่าซึ่งมีทั้งใช้รถเข็น รถซาเล้ง
รวมถึงใช้ถุงปุ๋ยสะพายหลัง
บางส่วนเร่ขายของตามงานวัดเช่น ขายพลาสติกปูนั่ง ขายลูกโป่ง รวมทั้งรับจ้างรายวันเป็นต้นว่า แจกใบปลิวโฆษณาสินค้า
รับแสดงเป็นตัวประกอบภาพยนตร์
นอกจากอาชีพทั้งที่ประจำและไม่ประจำแล้ว
คนไร้บ้านยังอยู่รอดด้วยการมีสวัสดิการสังคมนอกภาครัฐรองรับโดยเฉพาะการได้รับบริการอาหารฟรีจากศาลเจ้า โรงเจ
และสมาคมการกุศลต่างๆ
แม้จะยืนหยัดชีวิตอย่างยากลำบาก ยามหลับนอนไร้เพิงพักคุ้มแดดฝน แต่ความโชคร้ายของคนไร้บ้านก็มิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น
หลายต่อหลายครั้งพวกเขาตกเป็นเป้าหมายของการจับกุมไม่ว่าจะโดยกรมประชาสงเคราะห์ ตำรวจ
หรือเทศกิจ เพื่อนำตัวไปอบรมบ่มนิสัยรวมทั้งฝึกฝนอาชีพที่สถานสงเคราะห์บ้านปากเกร็ดหรือที่ธัญญบุรี
สถาบันของรัฐเหล่านั้นไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ที่เลิศหรูเพียงใด หากแต่ในความรับรู้ตามประสบการณ์ตรงของพี่น้องคนไร้บ้านแล้ว
มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าสถานที่กักกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า
“ คุก ” นั่นเอง เพียงแต่คุกที่ว่านี้มีไว้คุมขังคนจนเพียงเพราะพวกเขาไร้บ้าน ไร้ที่ซุกหัวนอน
ปัญหาคนไร้บ้านเป็นที่รับรู้ในทางสาธารณะมากขึ้น ก็เนื่องมาจากนโยบายปิดสนามหลวงตั้งแต่เวลา 23.00
– 05.00 น. ของนายสมัคร
สุนทรเวช
อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ที่ดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2544
มาตรการกีดกันการใช้พื้นที่สาธารณะดังกล่าว ถือเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของพี่น้องที่ใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่พักพิงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มคนไร้บ้าน
นโยบายปิดสนามหลวงของกรุงเทพมหานคร
ได้กลายเป็นปมปัญหาที่ทำให้ความรู้สึกของคนไร้บ้านเดินทางมาถึงจุดที่ทนไม่ได้อีกต่อไป
พวกเขาเข้าร่วมกับมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยและเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เดินขบวนรวมทั้งเรียกร้องสิทธิ์ต่อกรุงเทพมหานคร
จนทำให้นายเกรียงศักดิ์
โลหะชาละ
ปลัดกรุงเทพมหานครในขณะนั้นต้องอนุญาตให้พี่น้องคนไร้บ้านย่านสนามหลวงตั้งเต็นท์พักชั่วคราวที่บริเวณริมคลองหลอดหน้ากระทรวงมหาดไทยได้
จากความเป็นคนไร้สิทธิ์เสียง คนไร้บ้าน ณ
ที่พักชั่วคราวริมคลองหลอดเริ่มก่อรูปกลุ่มก้อนของตัวเองขึ้น พวกเขาค่อยๆเรียนรู้ สะสมพลังและความมั่นใจของตนขึ้นเป็นลำดับ ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ต่อมากลุ่มคนไร้บ้านได้จัดสร้างศูนย์พักขึ้นในชุมชนริมทางรถไฟตลิ่งชัน โดยมีพี่น้องหมุนเวียนมาพักอาศัยวันละ 30 – 40 คน
ซึ่งถือเป็นศูนย์พักแห่งแรกที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดของเมือง
ภาพการร่วมกันก่อสร้างศูนย์พักตลิ่งชัน โดยคนไร้บ้าน
เมื่อจัดระบบตัวเองได้
คนจนเมืองกลุ่มนี้ก็เดินหน้าแก้ปัญหาของตนอย่างเต็มกำลัง
พวกเขาวิพากษ์และต่อต้านนโยบายกวาดจับคนไร้บ้านไปเข้าโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก
ปี 2546 ทำการสำรวจและขยายงานจัดตั้งคนไร้บ้านไปตามจุดต่างๆเช่นละแวกใต้ทางด่วนแถวอาคารศรีจุลทรัพย์ ย่านหมอชิต สะพานควาย ไปจนถึงรังสิต นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมพบปะคนไร้บ้านโดยดึงภาครัฐมาให้บริการตรวจสุขภาพแก่พี่น้อง
มีการจัดกลุ่มอาชีพกลุ่มเศรษฐกิจของคนไร้บ้านขึ้น
ท้ายสุดพวกเขาเจรจากับกรุงเทพมหานครให้ขอเช่าที่ดินการรถไฟฯบริเวณบางกอกน้อยเพื่อก่อสร้างเป็นศูนย์พักอาศัยของคนไร้บ้านที่บริหารจัดการโดยกลุ่มคนไร้บ้านเองโดยให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้าง
ความพยายามดังกล่าวนำมาซึ่งการได้เช่าที่ดินของการรถไฟฯบริเวณที่หยุดรถจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกน้อย และได้งบประมาณการก่อสร้างศูนย์ขนาดพื้นที่ใช้สอย
200 ตารางวา
จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นจำนวนเงิน 2,500,000 บาท
จากชีวิตแบบปัจเจก ต่างคนต่างอยู่ มาสู่การรวมตัว ทำกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ จนท้ายสุดสามารถต่อรองกับทางการให้จัดสร้างศูนย์พักอาศัยได้สำเร็จ ฉะนั้นเรื่องราวของคนไร้บ้านจึงทำให้ได้ข้อสรุปว่า
การรวมกลุ่มคือหลักประกันประการเดียวในการอยู่รอดของพี่น้อง ดังที่ หมี
เกิดเจริญ
สมาชิกกลุ่มคนไร้บ้านได้กล่าวไว้ว่า “ ก่อนที่ผมจะมาเข้ากลุ่ม ผมต้องคอยหลบตำรวจ เทศกิจและหน่วยงานรัฐต่างๆ
การมาเข้ากลุ่มทำให้ผมรู้ถึงสิทธิของตัวเอง ทำให้ไม่ต้องกลัวกับหน่วยงานต่างๆ
อีกทั้งกลุ่มยังมีกลุ่มอาชีพซึ่งผมอยู่กลุ่มอาชีพเก็บของเก่าและเคยผ่านอบรมเรื่องขยะรีไซเคิลมาแล้ว ”
เช่นเดียวกับ
สุชิน เอี่ยมอินทร์ ผู้นำคนไร้บ้านที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานเครือข่ายสลัม
4 ภาค คนปัจจุบัน
ก็ได้แสดงทัศนะไว้อย่างคล้ายคลึงกันว่า “ ผมไม่อยากจะหนีไปไหนอีกแล้ว
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็จะโดนหน่วยงานราชการและคนทั่วไปมองในแง่ที่ไม่ดี
ผมจึงต้องรวมกลุ่มกับพี่น้องคนไร้บ้านต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิหรือการเข้าถึงบริการจากภาครัฐ และถ้าศูนย์ที่บางกอกน้อยสร้างเสร็จ คนไร้บ้านประมาณ 50 – 60 คน
ก็จะย้ายเข้ามาอยู่ที่ศูนย์ใหม่
เราจะอยู่กันแบบพี่แบบน้อง
ทำกลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพ เปิดร้านค้าสวัสดิการที่เอากำไรมาเป็นกองทุนปันผลให้สมาชิก
มีธนาคารขยะรีไซเคิลสำหรับพี่น้องที่เก็บของเก่า
และจะใช้ศูนย์นำร่องที่บางกอกน้อยขยายการสร้างศูนย์ใหม่ไว้รองรับพี่น้องคนไร้บ้านย่านอื่นๆด้วยซึ่งขณะนี้กำลังเจรจาเช่าที่ดินการรถไฟฯบริเวณสถานีหมอชิตใหม่อยู่ ”
วันจันทร์ที่
1 ตุลาคมปีนี้ เป็นวันที่อยู่อาศัยสากล กลุ่มคนไร้บ้านและเครือข่ายสลัม 4 ภาค จะถือโอกาสเอาวันดังกล่าวประกอบกิจกรรมเปิดศูนย์พักอาศัยของพี่น้องคนไร้บ้านที่บางกอกน้อย
ซึ่งเป็นศูนย์พักแห่งแรกที่สร้างขึ้นจากพลังอำนาจการต่อรองของคนจน แม้ในวันนั้นคนไร้บ้านจะมีได้เพียงแค่ศูนย์พักอาศัย ยังไม่มีบ้านสำหรับสมาชิกแต่ละครอบครัว แต่นี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆตามความใฝ่ฝันของพวกเขา
และที่สำคัญมันจะเป็นอีกวันหนึ่งที่ชีวิตของคนจนผู้อยู่ชายขอบที่สุดของเมือง จะเต็มเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น