คนสลัมเคลื่อนไหว…
ในวันที่อยู่อาศัยสากล
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกมีประชากรอาศัยอยู่รวมกันกว่า
6,000 ล้านคน
ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเมือง
และตามการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ
ในปี 2573 ประชากรในเขตเมืองจะมีจำนวนถึง 2 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก
ทิศทางการพัฒนาประเทศตามแบบแผนอุตสาหกรรม การส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว
ได้ทำให้วิถีชีวิตของประชาชนในชนบทของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาต่างๆต้องล่มสลาย ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นแรงงานในเมือง ความใฝ่ฝันที่ผู้อพยพเหล่านี้นำติดตัวมาคือ การมีงานทำ มีรายได้ มีที่พักอาศัย
รวมถึงการมีเงินเก็บเพื่อกลับไปฟื้นฟูชีวิตที่บ้านเกิด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พบเจอกลับเป็นชีวิตด้านตรงข้าม
พวกเขากลายเป็นคนจนเมืองผู้ไร้ที่อยู่อาศัย หรือมีที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม ไม่มั่นคงและผิดกฎหมาย รวมทั้งเข้าไม่ถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายๆด้าน
อาทิ การศึกษา สุขอนามัย สาธารณูปโภคพื้นฐาน คนยากจนในเมืองเหล่านี้ ก่อรูปขึ้นเป็นปัญหาสลัม
ปัญหาคนไร้ที่อยู่อาศัย ตามเมืองต่างๆทั่วโลก
ซึ่งในปัจจุบันประมาณการณ์ว่ามีเกือบ 1,000 ล้านคน
ดังนั้นเพื่อเป็นการรับมือกับสภาพปัญหาดังกล่าว ศูนย์การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แห่งสหประชาชาติ
( United Nations Centre for Human Settlements – UNCHS / HABITAT ) จึงได้กำหนดให้ปี 2530
เป็นปีสากลแห่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ไร้ที่อยู่อาศัย (
International Year of Shelter for Homeless ) และจากนั้นได้ประกาศให้ทุกวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็น “ วันที่อยู่อาศัยสากล / World
Habitat Day ” ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลและภาคประชาสังคมของประชาชาติต่างๆ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาผู้ไร้ที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม ไม่มั่นคง
ในประเทศไทย
ชาวสลัมในนามของ “ เครือข่ายสลัม 4 ภาค ” ได้มีกิจกรรมในวันที่อยู่อาศัยสากลเป็นประจำทุกปี
โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2544
สำหรับในปีนี้แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวรณรงค์ในวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม แต่เครือข่ายสลัม 4 ภาค ก็มีปฏิบัติการที่เกี่ยวพันกับ
“สิทธิที่อยู่อาศัย” ของคนจนในเมืองมาก่อนหน้านั้นแล้วราวหนึ่งเดือน
วันที่ 27 สิงหาคม – 26 กันยายน
เครือข่ายสลัม 4 ภาค จัดการชุมนุมต่อต้านการไล่รื้อที่หน้าทำเนียบ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นคนกลางไปเจรจาไกล่เกลี่ยขอชะลอเวลารื้อย้ายกับเจ้าของที่ดินเอกชน
3 ราย ที่กำลังกดดันชุมชนหวายทอง
ชุมชนกิตติ และชุมชนพระราม 3 ราว 200
ครอบครัวให้เร่งรื้อย้าย
เหตุที่ต้องชุมนุมก็เพราะในขณะที่รัฐบาลประกาศ นโยบาย “ บ้านมั่นคง
” เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยแก่ชาวชุมชนแออัด ประกาศหลักการ “ สมานฉันท์และสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ” แต่ชาวสลัมกลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ตำรวจเตรียมออกหมายจับราวกับชาวบ้านเป็นอาชญากร ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงทางสังคมสวนทางกับนโยบายของรัฐ
จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเป็นคนกลางในการคลี่คลายปัญหา เพราะปัญหาสลัมไม่ใช่เป็นปัญหาการบุกรุกยึดครองแบบปัจเจกชน หากแต่เป็นหนึ่งในปัญหาทางความเลื่อมล้ำของสังคมไทย ที่ท้าทายฝีมือการแก้ไขของทุกรัฐบาล
ผลจากการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ท้ายสุดนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เปิดประชุมที่ทำเนียบ โดยเชิญเจ้าของที่ดินมาพูดคุย ซึ่งได้ผลสรุปคือ ในหลักการ
เจ้าของที่ดิน 2 รายยินยอมผ่อนผันการรื้อย้ายให้กับชุมชน
แต่ขอให้ชุมชนจัดทำแผนที่อยู่อาศัยใหม่ให้ชัดเจน ส่วนเจ้าของที่อีกรายไม่ยอมมาเจรจา
ทางรัฐบาลจึงประสานไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งเพื่อขอให้ใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยกับเจ้าของที่ดินทางศาล การชุมนุมในครั้งนี้จึงเป็นรูปธรรมความสำเร็จของชาวสลัมในที่เอกชนที่ยืนยันปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัยของชุมชน
อีกชัยชนะหนึ่งของคนยากจนในเมืองก็คือ
การเซ็นสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟฯเพื่อจัดทำโครงการที่อยู่อาศัย “บ้านมั่นคง” โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน
กระทรวงคมนาคมได้มีพิธีเซ็นสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟฯแก่ชุมชนที่เป็นสมาชิกเครือข่ายสลัม
4 ภาค จำนวน 4 ชุมชน ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ
1 ชุมชน และอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น 3
ชุมชน เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี 2
ชุมชน และสัญญาครั้งละ 3 ปี อีก 2 ชุมชน
โดยทั้งหมดเป็นการเช่าอยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่เดิม
การเซ็นสัญญาดังกล่าวมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานสักขีพยาน โดยสรุป ณ
ขณะนี้มีชุมชนที่อยู่ในสังกัดเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่เซ็นสัญญาเช่าที่กับการรถไฟฯแล้ว
24 ชุมชน ครอบคลุมผู้ได้รับประโยชน์
1,700 ครอบครัว กว่าครึ่งหนึ่งเป็นสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี
แม้ว่าชาวสลัมในที่เอกชน ในที่ดินการรถไฟฯ
จะมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย แต่ทว่าเพื่อนพ้องคนจนในที่อื่นๆยังเผชิญกับภัยคุกคาม
ขณะนี้วัด 22 แห่ง
กำลังขับไล่ชุมชนที่เช่าที่ดินของวัดอยู่โดยต้องการนำที่ดินไปให้ภาคธุรกิจทำประโยชน์ ชุมชนหวั่งหลีอายุกว่า 80 ปี
ถูกวัดยานนาวาให้นักลงทุนขับไล่ไปแล้ว
และมีชุมชนในที่วัดอีก 5 แห่ง ประชากรราว 500 ครอบครัวกำลังอยู่ในกระบวนการถูกฟ้องขับไล่
ได้แก่ ชุมชนในที่ดินวัดกัลยาณมิตร
วัดบุปผาราม วัดใต้ วัดอนงคาราม
และวัดโมลี ปรากฏการณ์ไล่รื้อชุมชนโดยวัดจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะพระสงฆ์ผู้เป็นสานุศิษย์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งควรจะเปี่ยมไปด้วยความเมตตา – กรุณา กลับกลายมาเป็นผู้ไล่รื้อชุมชนเสียเอง
ชุมชนริมคลองปากคลองสวน เขตยานนาวา
ถูกกรุงเทพมหานครดำเนินคดีเป็นจำนวน 37 ครอบครัว
ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี แล้วรอลงอาญา 2 ราย
แต่ต้องเสียค่าปรับรายละ 25,000 บาท
ขณะที่อีก 35 ราย กำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกไปสอบสวน
คนไร้บ้านในกรุงเทพฯที่พักพิงตามพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีราว 1,500 คน ต้องคอยหวาดหวั่นกับนโยบายจับกุมพวกเขาไปเข้าสถานบำบัดความประพฤติเป็นเวลา
6 เดือน
สถานที่ดังกล่าวมีสภาพคล้ายที่กักกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าสถาบันที่ส่งเสริมการพัฒนา
ปัญหาที่กล่าวมาล้วนเป็นการละเมิดสิทธิที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง ดังนั้นในวาระวันที่อยู่อาศัยสากล เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงจัดแถลงข่าวการจัดงานในวันที่
23 กันยายน ซึ่งนอกจากจะบอกกล่าวถึงกิจกรรมในวันที่
1 ตุลาคม แล้ว
ยังใช้เวทีแถลงข่าวเปิดโปงปัญหาการไล่รื้อและการละเมิดสิทธิที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนดังกล่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อเป็นการสร้างกระแสสาธารณะก่อนการเดินขบวน
กลับมาที่กิจกรรมในวันที่อยู่อาศัยสากล เช้าวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม สมาชิกเครือข่ายสลัม 4 ภาค ราว 1,500 คน และพี่น้องพันธมิตรจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยกว่า
100 คน รวมตัวกันบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
โดยมีเป้าหมายการเคลื่อนขบวนไปยัง 3 จุดสำคัญคือ อาคารสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ทำเนียบรัฐบาล และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
ก่อนการเคลื่อน มีการจัดริ้วขบวนและทิวธง
แผ่นผ้าเขียนข้อความรณรงค์ถูกชูขึ้นเหนือหัว ที่อ่านแล้วสะดุดตาก็เช่น “พระพม่าไล่ทหาร พระไทยไล่ชาวบ้าน” “นโยบายกทม. ประชาชนต้องมาก่อน หรือประชาชนต้องมา (เข้าคุก) ก่อน ?” “หยุดกวาดจับคนไร้บ้าน เราเป็นคนจนจัดไม่ใช่จรจัด” รวมไปถึงถ้อยคำส่งกำลังใจแก่ผู้รักประชาธิปไตยในพม่าที่ว่า
“Stop Evictions in Burma
, Stop Military”
ที่หน้าอาคารสหประชาชาติ จดหมายในนามเครือข่ายสลัม 4 ภาค และ LOCOA /
Leaders and Organizers of Community Organization in Asia ซึ่งเป็นขบวนการชาวสลัมในภูมิภาคเอเชีย ได้ถูกยื่นต่อนาย Ravi Ratnayake
ผู้อำนวยการฝ่ายความยากจนและการพัฒนา ที่ประกาศกับผู้ชุมนุมว่าจะนำจดหมายฉบับนี้ส่งถึง
Mrs. Anna Tibaijuka ผู้อำนวยการ UN-HABITAT
และนาย Miloon
Kothari
ผู้แทนพิเศษด้านสิทธิที่อยู่อาศัย
ส่วนการติดตามผลการดำเนินงานนั้น คงต้องรอให้องค์การสหประชาชาติ พิจารณาว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายรวมทั้งบทบาทขององค์กรตามที่ฝ่ายเราเสนอไปหรือไม่ ซึ่งคงต้องมาติดตามในวันที่อยู่อาศัยสากลปี
2551
สำหรับสาระสำคัญของข้อเรียกร้องก็คือ
ให้องค์การสหประชาชาติ
เฝ้าติดตามการไล่รื้อชุมชนของประเทศในเอเชียว่าเป็นการละเมิดสิทธิที่อยู่อาศัยและสิทธิมนุษยชนหรือไม่
รวมทั้งให้ตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลในประเทศเหล่านั้นว่ามีการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนยากจนอย่างเป็นไปตามข้อตกลงที่ประเทศเหล่านั้นลงนามไว้กับองค์การสหประชาชาติหรือไม่ นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติ จะต้องเป็นผู้นำในการรณรงค์ให้รัฐบาลของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียลงสัตยาบันร่วมกันในการมี “ นโยบายที่ดินในเมือง ” สำหรับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนยากจน ไม่ว่าจะโดยการปฏิรูปที่ดิน การแบ่งปันที่ดิน การให้เช่าที่ดินระยะยาว
รวมทั้งการมีมาตรการภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อลดการถือครองที่ดินจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของกลุ่มคนร่ำรวย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
ได้ลงมาพบผู้ชุมนุมพร้อมทั้งรับฟังปัญหาและข้อเสนอจากเครือข่ายสลัม 4
ภาค ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องการไล่รื้อ ปัญหาคนไร้บ้าน
รวมถึงอุปสรรคด้านกฎหมายและงบประมาณในการทำโครงการที่อยู่อาศัย จากนั้นได้นัดหมายให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกในเรื่องการไล่รื้อชุมชน การหยุดจับกุมคนไร้บ้าน การปรับปรุงการดำเนินงานโครงการบ้านมั่นคง ในวันที่ 15 ตุลาคม 2550
ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายไพบูลย์ จะเป็นประธานการประชุมเอง
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ปัญหาการจับกุมชาวบ้านชุมชนริมคลอง เป็นประเด็นที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ต้องการเจรจากับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตามรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้เป็นผู้มาประชุมแทนและได้ข้อสรุปว่า กรณีชุมชนที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้ว
รองผู้ว่าฯจะเป็นผู้ไปเจรจาขอชะลอการดำเนินคดีกับทางตำรวจ เพื่อให้ชุมชนมีเวลาเตรียมการหาที่รองรับใหม่ ส่วนชุมชนริมคลองแห่งอื่นๆ
กรุงเทพมหานครจะมีคำสั่งถึงผู้อำนวยการเขตทุกเขตว่าหากจะมีการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกริมคลอง จะต้องนำเรื่องเสนอต่อ “ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดกรุงเทพมหานคร
” เพื่อให้พิจารณาก่อนออกคำสั่ง
ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้มีผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการอยู่ด้วย
สิ่งที่พิเศษกว่าการเคลื่อนไหวในวันที่อยู่อาศัยสากลของทุกๆปีก็คือ ในปีนี้ชาวเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้พาตัวเองไปเชื่อมร้อยจิตใจไว้กับพี่น้องสลัมในต่างแดน
สลัมริมแม่น้ำปาสิก กลางกรุงมะนิลาซึ่งมีผู้อยู่อาศัยราว
94,000 ครอบครัว ถูกทางการขับไล่ที่ด้วยข้ออ้างการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
การไล่รื้อครั้งนี้เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิที่อยู่อาศัย ขัดต่อกฎหมายภายในประเทศฟิลิปปินส์และขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหา
ดังนั้นในโอกาสวาระสัปดาห์วันที่อยู่อาศัยสากลประจำปี
2550 ในวันที่ 5 ตุลาคม เครือข่ายสลัม 4
ภาค จึงแสดงความสมานฉันท์กับพี่น้องชาวสลัมในกรุงมะนิลา ด้วยการไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย
เพื่อเสนอให้รัฐบาลฟิลิปปินส์เคารพต่อสิทธิที่อยู่อาศัยของคนยากจนในเมือง
ด้วยการยุติการไล่รื้อและเปิดโอกาสให้ชาวชุมชนริมแม่น้ำปาสิกเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย
กิจกรรมวันที่อยู่อาศัยสากลปีนี้ ที่กินเวลากว่าหนึ่งเดือน
จึงเป็นภารกิจที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยสำหรับขบวนการคนจนในเมืองอย่าง “เครือข่ายสลัม
4 ภาค”
แต่กระนั้นมันก็เป็นภารกิจแห่งศักดิ์ศรีของคนยากจน
ที่กล้ายืนกรานปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัยของชุมชนและเชื่อมพลังการต่อสู้กับพันธมิตรคนจนอื่นๆ
ดังคำขวัญของขบวนการที่ว่า “
สามัคคีคนสลัม รวมพลังคนจน ”
“ สามัคคีคนสลัม รวมพลังสากล ”