วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ ทางเลือกลดความเหลื่อมล้ำ โดยภาคประชาชน

เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ
ทางเลือกลดความเหลื่อมล้ำ โดยภาคประชาชน

คมสันติ์  จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค

เวลาก็ผ่านไปจะเข้าครึ่งปีแล้ว  โปรโมชั่นที่รัฐบาลได้มอบไว้เมื่อปลายปี 2559 จากการแจกเงิน ๑,๕๐๐ ๓,๐๐๐ บาท สำหรับผู้มีรายได้น้อย การช๊อปปิ้งช่วยห้างร้านและนำมาลดภาษีตนเอง สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง มาถึง ณ เวลานี้ ความสุขที่รัฐบาลมอบให้คงหมดไปไม่หลงเหลือกลิ่นไอใดๆแล้ว เพราะเปิดศักราชใหม่มาพร้อมกระแสข่าวรัฐบาลถังแตก
จากกระแสข่าวเงินคงคลังลดลงจนเกิดภาวะวิกฤตส่งผลให้ประชาชนเกิดความกังวลขึ้นมาว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมาแก้ปัญหานี้  ส่วนรัฐบาลเองยังคงให้การปฎิเสธต่อสังคมว่าไม่ได้เกิดวิกฤตถึงขั้นที่เป็นกระแสข่าว   แต่กระนั้นรัฐบาลเริ่มที่จะออกมาตรการรัดเข็มขัดขึ้นมาเช่น การเพิ่มค่าการเก็บขยะมูลฝอยรายครัวเรือน  การไม่เพิ่มเพดานสนับสนุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพ การเก็บภาษีน้ำมันเครื่องบินส่งผลต่อสายการบินโลวคอสอาจจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น  หรือแม้กระทั่งการไม่สนับสนุนแบบเรียนในระดับประถมโดยเปลี่ยนเป็นการให้ยืมแทน   ตามมาติดๆกับการเตรียมขึ้นค่าไฟฟ้า  มาตรการดังกล่าวล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่าง ชนชั้นรากหญ้า เหมือนกับการ “เอาคืน”
หากอีกมุมหนึ่งขณะอยู่สถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่รัฐบาลกลับกล้าหาญที่จะอนุมัติงบประมาณในการสั่งซื้อเรือดำน้ำราคาราว ๓6,๐๐๐ ล้านบาท พร้อมทั้งอนุมัติซื้อรถถังมาให้กับกองทัพรวมสองระยะเป็นงบประมาณราว ๗,๐๐๐ ล้านบาท อ้างถึงความมั่นคงของประเทศต้องมาก่อน  มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
หากจะเทียบกันกับในส่วนที่รัฐบาลเคยแจก เคยให้ไว้กับกลุ่มคนชั้นล่างคือการแจกเงิน ๑,๕๐๐ ๓,๐๐๐ บาท นั้น ใช้งบประมาณแล้วอยู่ราว ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท แต่เมื่อมาดูงบประมาณที่สนับสนุนให้กับกองทัพอยู่ที่ราว 43,๐๐๐ ล้านบาท   ยังไม่นับมาตรการที่รัฐบาลออกมา “เอาคืน” กับประชาชนที่กล่าวไว้ข้างต้นอีกจำนวนมาก  สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าน้ำหนักที่คณะรัฐบาลชุดนี้เน้นไปในทิศทางใด????
และยิ่งหนักไปกว่านั้นคล้ายดังเป็นการ “ตบหน้าประชาชน” ฉาดใหญ่ ด้วยการปูนบำเหน็ญให้กับคณะทำงาน คสช. 721 คน ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่สอดคล้องจากการเข้ามาควบคุมอำนาจ  ที่ว่าอาสามาช่วยปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม  แต่กลับมาเรียกร้องค่าแรงที่เหนื่อย ที่เสี่ยง ในการยึดอำนาจ  ในห้วงสถานการณ์สภวะเศรษฐกิจที่ยังย่ำแย่
ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ มติ ครม. ๑๑ เม.ย. ๖๐ ที่เห็นชอบ ร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาคตะวันออกอีก ๓ จังหวัด ร้อนแรงเป็นอย่างมาก  สังคมคัดค้านอย่างวงกว้างพอสมควร แต่ถ้าหากได้ติดตามเส้นทางการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว จะเห็นว่าแท้จริงแล้วนี่คือหนึ่งในโรดแมฟของทางคณะรัฐประหารชุดนี้ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากการเข้าคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เพียงเดือนเดียวก็ได้ออกคำสั่ง คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๗ เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ในเดือน มิถุนายน ๒๕๕๗  เพื่อเป็นคณะกรรมการในการขับเคลื่อนโรดแมฟเขตเศรษกิจให้เป็นรูปธรรม  ซึ่งถัดมาอีกหนึ่งปี กนพ. ได้ประชุมสองครั้ง เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ สองระยะ ๑๐ จังหวัด ดังนี้
ระยะที่ หนึ่ง คือ จังหวัดตาก , สระแก้ว , ตราด , มุกดาหาร และ สงขลา
ระยะที่ สอง คือ จังหวัดเชียงราย , หนองคาย , นครพนม , นราธิวาส และ กาญจนบุรี
โดยสำทับตามด้วยคำสั่ง คสช. ที่ ๑๗/๒๕๕๘ เรื่องการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตอกย้ำการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ  เพื่อพยายามสร้างความมั่นใจให้กลุ่มทุนที่จะมาลงทุน 
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค และ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ( P-Move)  เป็นกลุ่มประชาชนที่รวมกลุ่มกันเพื่อจะสร้างนโยบายต่างๆให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม   กิจกรรมที่เห็นเด่นชัดนั้นจะเป็นเรื่องการผลักดันให้เกิดนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินที่พยายามเสนอแนวทางเลือกของภาคประชาชนในการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยกลุ่มองค์กรชุมชนเอง   ได้เริ่มปฏิบัติกันเองโดยประชาชนอย่างเช่น
พื้นที่บ้านไร่ดง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน รวมกลุ่มกันจัดการที่ดินเอกชนที่ปล่อยทิ้งรกร้าง เข้ามาทำประโยชน์ภายใต้ปรัชญาที่ดินควรต้องเป็นของผู้ถือคันไถ  และนี่คือจุดเริ่มต้นโฉนดชุมชน ที่ชาวบ้านได้ร่วมกันทำอย่างง่ายๆ แต่มีคุณค่าความหมายยิ่งสำหรับ ชาวบ้านไร่ดง มีการจัดทำระบุข้อมูล ชื่อ-นามสกุลผู้ถือครอง จำนวน 1 ไร่ 1 งาน พร้อมด้วยแผนที่แบ่งกั้นอาณาเขตอย่างชัดเจน  ที่น่าสนใจก็คือ ในแผ่นโฉนดที่ดินชุมชนแต่ละฉบับนั้น จะมีลายมือชื่อของผู้ถือครอง กรรมการและพยานกำกับ พร้อมข้อระเบียบให้รับรู้อย่างชัดเจน ซึ่งสิทธิในที่ดินมีดังนี้
1.เป็นมรดกตกทอด ห้ามซื้อขายที่ดิน
2.ปฏิบัติตามกฎระเบียบของคณะกรรมการและชุมชน
3.ขอให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตลอดไป
ข้อความสั้นๆ ชัดเจน เข้าใจง่าย แต่ครอบคลุมถึงชีวิตและวิถีการดำรงอยู่ของชาวบ้านทั้งหมด ทั้งชีวิต ทั้งปัจจุบันและอนาคต


     

 ชุมชนคลองไทรพัฒนา อยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลไทรทอง อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551  เป็นชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้านเข้าตรวจสอบพื้นที่ซึ่งบริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด ครอบครองปลูกปาล์มน้ำมันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินมาจัดสรรให้กับเกษตรกร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้และต่อมาทางกรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นพื้นที่ปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม มีชาวบ้านที่ร่วมกันตรวจสอบและตั้งชุมชน มาตั้งแต่ปี 2546-2551 ดำเนินการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน เพื่อให้ สปก. ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล   แต่กลับถูกกดดันข่มขู่ คุกคาม ลอบสังหาร จากกลุ่มอิทธิพลที่ดูแลจัดการผลประโยชน์ให้บริษัทฯตลอดมา 
ชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู เขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า จ.ตรังและพัทลุง โดยบ้านทับเขือ ตั้งอยู่บริเวณ หมู่1 ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง และบ้านปลักหมู" ตั้งอยู่บริเวณ หมู่1 ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง มีชาวบ้านอาศัยอยู่จำนวน 38ครัวเรือน สมาชิก 193คน เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เป็นชุมชนจัดการทรัพยากรที่ดินโดยประชาชนเอง  ที่นี่อยู่อาศัยกันมาอย่างยาวนาน จนเกิด “ธรรมนูญชุมชน” ขึ้นมา
   

ชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายสลัม ๔ ภาค ได้ผลักดันมติคณะกรรมการรถไฟฯเพื่อขอเช่าที่ดินมาแก้ปัญหาที่อยู่อาศักว่า 50 ชุมชน ทั่วประเทศ บ้างได้เช่าระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง ๓ ปีต่อครั้ง บ้างได้เช่าระยะยาว ๓๐ ปี ที่สำคัญเป็นการเช่าแบบแปลงรวม  การจัดการที่ดินโดยชุมชน  มีระบบ ระเบียบ ชุมชนเพื่อดูแลรัษาที่ดินไม่ให้หลุดมือ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างชุมชนที่มีการจัดการที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาล  ตรงข้ามรัฐบาลกลับมีนโยบายซ้ำเติมลงมาชาวบ้านกลุ่มเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นนโยบายทวงคืนผืนป่า ที่เน้นทวงคืนกับชาวบ้านคนจน  บุกกวาดจับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในผืนป่ามายาวนาน   ฉะนั้นรัฐบาลไม่ต้องแปลกใจทำไมประชาชนรากหญ้าถึงมีความรู้สึกรับไม่ได้กับการออกกฎหมายให้ชาวต่างชาติสามารถเช่าที่ดินได้ยาวนานถึง ๙๙ ปี  ทั้งๆนี่คือ “เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ” ที่รัฐบาลมองข้าม
เครือข่ายสลัม 4 ภาค และ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (Pmove) ยังคงต้องผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมทั้งในพื้นที่ชุมชนดังที่กล่าวข้างต้น และระดับนโยบายที่ยังคงต้องผลักดัน  ติดตาม กันอย่างใกล้ชิด
กฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า  ต้องกระจายการถือครองที่ดินโดยใช้ระบบภาษีครองที่ดินมากจ่ายภาษีมากในอัตราที่ก้าวหน้า  เพื่อให้เหล่าเจ้าที่ดินทั้งหลายได้ปล่อยที่ดินมา
ธนาคารที่ดิน ที่คาดหวังจะให้เป็นที่เก็บที่ดินไว้สำหรับให้คนจนไร้ที่ดินได้มาหาที่ดินเพื่อไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการทำกิน หรือที่อยู่อาศัย  การได้มาของที่ดินส่วนหนึ่งจะเชื่อมโยงจากการกระจายการถือครองที่ดินโดยภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า  เพื่อเป็นที่รองรับสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะครองที่ดินไว้จำนวนมาก  รวมถึงการได้มาของที่ดินจากที่ดินที่เป็น NPL ตามบรรษัทต่างๆ หรือกรมบังคับคดี เป็น Land Bank ชั้นยอดสำหรับผู้ยากไร้
การจัดการที่ดินโดยชุมชน หรือ “โฉนดชุมชน” สร้างเขตพื้นที่ชุมชนเป็น เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ ขึ้นมาเพื่อการบริหารจัดการที่ดินเป็นกลุ่มองค์กรชุมชน  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดที่ดินหลุดมือออกไปอยู่กับกลุ่มทุนอีก  สร้างระบบรักษาที่ดินโดยชุมชน

กองทุนยุติธรรม การพิพาทที่ดินจำนวนมากไม่ว่ารัฐ กับ ประชาชน หรือ กลุ่มทุน กับชนชั้นรากหญ้า สร้างคดีมากมายให้กับประชาชน การที่ประชาชนคนจนมีกองทุนไว้เพื่อประกันตัวมาสู้คดีนอกคุก  สร้างการมีศักดิ์ศรีในการต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียมกับรัฐ หรือกลุ่มทุนได้
นี่คือนโยบายสำคัญที่ภาคประชาชนพยายามผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม  และสามารถนำไปใช้ได้จริง   แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นคือไม่ได้รับความสำคัญจากรัฐบาล  การปรับแก้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเล็กน้อย เพื่อลดกระแสการเคลื่อนไหวภาษีที่ดินแบบอัตราก้าวหน้าลง  การปรับแก้เจตนารมณ์ธนาคารที่ดินจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่  การเข้าถึงกองทุนยุติธรรมอย่างยากลำบาก เกิดการตัดสินตั้งแต่กระบวนการขอการสนับสนุนเงินประกันตัว  และโฉนดชุมชนที่กลุ่มชาวบ้านคาดหวังจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่  สร้างความมั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยอีกทางหนึ่ง  นอกจากรัฐบาลนี้จะไม่ให้ความสำคัญโดยการไม่แต่งตั้งประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.)  ซ้ำเติมด้วยการดำเนินปราบปราม จับกุม ดำเนินคดี กับชาวบ้านที่อยู่ใน “เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ” ในรูปแบบโฉนดชุมชน

ดังนั้นมาตรการต่างๆที่เพิ่มภาระให้กับประชาชน  รัฐบาลควรทบทวนยกเลิกไปเสีย  อย่าได้สร้างแรงกดดันประชาชนจนหลังพิงฝาหมดทางเลือก  แล้วต้องลุกฮือขึ้นมาทวงสิทธิ เสรีภาพ ที่หายไป !!!  และให้หยิบแนวทางการพัฒนาโดยชุมชน  ที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาประเทศขึ้นมาพิจารณา  จึงจะเป็นทิศทาง ยุทธศาสตร์ของประชาชนโดยแท้จริง.

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

ปฎิรูปประเทศ เพื่อลดความเหลือมล้ำ หรือซ้ำเติมประชาชนรากหญ้า

ปฎิรูปประเทศ เพื่อลดความเหลือมล้ำ
หรือซ้ำเติมประชาชนรากหญ้า

คมสันติ์  จันทร์อ่อน   กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา  มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. เพื่อวางรากฐานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทยในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ก่อนจะขยายไปยังภาคอื่นๆ ต่อไปในอนาคต ประเด็นที่น่าติดตามคือ การขยายสิทธิการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากเดิม 50 ปี เป็น 99 ปี
จากความเดิม เมื่อคราวปีที่แล้ววันที่ 30 ม.ค. 59  “พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ชี้แจงกรณีกระแสข่าวรัฐบาลจะเอาที่ดินของรัฐไปให้เอกชนและนักธุรกิจต่างชาติเช่าเป็นเวลา 99 ปี จนถูกมองว่าเป็นการเอาที่ดินไปขายให้ต่างชาติว่า รัฐบาลยังไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ และยังไม่ได้กำหนดนโยบายใดๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว” นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเพื่อดับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ประชาชนได้ยินกระแสที่รัฐบาลจะวางแผนหานักลงทุนต่างชาติมาลงทุนเพื่อเป็นรายได้อีกทางของรัฐ  โดยการให้สิทธิ์พิเศษในเรื่องการเช่าที่ดินได้ระยะยาวขึ้นเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนถึง 99 ปี   แต่แล้วการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ได้มีมติเห็นชอบหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Department) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินโครงการ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง ผังเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดินแผนงานด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิการเช่าที่ดิน สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ฯลฯ เสนอต่อ ครม.   ถัดมาอีก 4 เดือน การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ได้มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ. ศ.
และล่าสุดการประชุมชนคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำไปแก้ไขประเด็นต่างๆ ประมาณ 1-2 เดือน เพื่อนำกลับมาให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป
ถือเป็นคำ “โกหกคำโต” ของโฆษกรัฐบาลที่ออกมาแก้ตัวให้พ้นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เพียงเท่านั้น  ไม่กล้าที่จะออกมายอมรับในโครงการที่รัฐบาลกำลังวางแผนจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ  โดยการมอบสิทธิพิเศษหลายอย่างให้โดยเฉพาะ “กรรมสิทธิ์ที่ดิน”  แน่นอนว่าเนื้อหาสาระสำคัญที่คณะรัฐมนตรีขอแกไข้เนื้อหาเพิ่มเติมนั้นจำต้องมุ่งเน้นอำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทุน  และกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหวังไว้นั้นคือกลุ่มทุนจากต่างชาติ
มติ ครม. เมื่อ 11 เม.ย. 60 ที่ผ่านมา  ที่มอบสิทธิ์ให้กับชาวต่างด้าวที่ทุนหนา เงินเยอะ สามารถยึดครองที่ดินประเทศได้ยาวนานถึง 99 ปี ในขณะที่สถานการณ์ที่ดินในประเทศไทยเองยังมีกลุ่มทุนไม่กี่ตระกูลครองที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไว้   แต่ประชาชนกว่า 4.3 ล้านคน ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย  ฉะนั้น มติ ครม. ดังกล่าว นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินอย่างทั่วถึงได้แล้ว  ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่ดินให้มีสถานการณ์ที่หนักขึ้นอีกด้วย
แท้จริงแล้วยังมีพื้นที่ในหลายจังหวัดที่กำลังแต่งตัวรับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษไม่ว่าจะเป็น ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ ตาก  ภาคอีสาน จังหวดหนองคาย , นครพนม และมุกดาหาร ภาคใต้ จังหวัดสงขลา และนราธิวาส ภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี และภาคตะวันออก เดิมมี จังหวัดสระแก้ว และตราด ( ข้อมูลจาก http://www.industry.go.th/industry/index.php/th/knowledge/item/10593-2016-05-23-05-01-57 ) ส่วนมติ ครม. 11 เม.ย. 60 เป็นการเห็นชอบพื้นที่เพิ่มเติม 3 จังหวัด ตะวันออกคือ จังหวัดชลบุรี , ระยอง และฉะเชิงเทรา ดังที่กล่าวข้างต้น



พื้นที่ที่ได้รับความเห็นชอบไปก่อนหน้านี้ได้ส่งผลกระทบต่อชุมชนดั้งเดิมหลายหมู่บ้าน หลายตำบล  ราคาที่ดินที่พุ่งขึ้นสูงลิ่ว เกิดการกว้านซื้อที่ดินรอบๆหรือใกล้เคียงกับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ  ชาวบ้านที่อาศัยในที่ดินที่จะนำไปทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ  ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย   ซึ่งปัญหาข้อพิพาทเหล่านี้ยังไม่ได้ข้อยุติอยู่ระหว่างการเจรจาการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมกับรัฐบาลค้างอยู่
สิทธิพิเศษ นอกเหนือที่เห็นปรากฏหน้าข่าวในด้านระยะเวลาการเช่าที่ดิน 99 ปี ได้นั้น ยังมีสิทธิพิเศษต่างๆที่กลุ่มทุนเหล่านั้นจะได้รับ เช่น
-          นอกจากจะได้ระยะเวลาเช่าที่ดินในระยะยาวนานแล้ว  ราคาค่าเช่านั้นยังแสนถูกมากจากข้อมูลก่อนที่จะมี มติเห็นชอบเขตเศรษฐกิจ 3 จังหวัดภาคตะวันออก เมื่อ 11 เม.ย. 60 ที่ผ่านมา ทางกรมธนารักษ์ได้คิดค่าเช่าที่ดินที่จะทำนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีอัตราค่าเช่าราคาแพงที่สุด อยู่ในราคา 220,000 บาทต่อไร หรือคิดเป็น 550 บาทต่อตารางวา หรือเพียง 137.5 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตราค่าเช่ารายปี  (ข้อมูลจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432959904 )
-          สิทธิในการที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดเป็นเวลา 13 ปี ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด และจะได้รับการยกเว้นและหรือลดหย่อนภาษีตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตประกอบการเสรี
-          ได้รับการอำนวยความสะดวกโดยรัฐ จัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตพัฒนาพิเศษ
นี่เป็นเพียงสิทธิพิเศษบางอย่างที่กลุ่มทุนว่าจะเป็นทุนใหญ่ในประเทศ หรือกลุ่มทุนข้ามชาติ  ที่จะมาหาประโยชน์ในแผ่นดินประเทศไทย  ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ   แต่ที่น่าละอายไปกว่านั้นนโยบายการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ระยะเวลายาว 99 ปี ไม่ใช่รัฐบาลนี่เป็นผู้ต้นคิด กล่าวโดยย่อที่มาที่ไปนั้นมาจากกลุ่มทุนที่เคยมีอำนาจวางรากฐานสยายปีกตอนกลุ่มทุนเหล่านั้นเข้ามาเป็นรัฐบาลตั้งแต่สมัย ทักษิณ  ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี  แต่ก็ถูกประชาชนคัดค้าน และเป็นหนึ่งในเหตุผลในการ “ขับไล่” กลุ่มทุนเหล่านั้นออกจากอำนาจจนเป็นที่มาการรัฐประหารในปัจจุบัน


( เครดิตภาพจาก นิตยสาร WAY)

จะว่าไปเครือข่ายสลัม 4 ภาค ผลักดันการปฎิรูปที่ดินเมืองเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนใช้ระยะเวลายาวนานไม่ว่าจะเป็นที่ดินรัฐ หรือเอกชน และไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวมาโดยตลอด  เครือข่ายสลัม 4 ภาค พยายามเสนอแนวทางการแก้ปัญหาในเชิงนโยบายจนเกิดรูปธรรมกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยขึ้นคือ มติคณะกรรมการรถไฟฯเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2543 ที่ชุมชนสามารถเช่าที่ดินการรถไฟฯได้เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย  ทั้งนี้ระยะสัญญาที่ชาวชุมชนสามารถเช่าได้ยาวนานที่สุดอยู่ที่ 30 ปี ซึ่งก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจบ 30 ปีแล้ว จะสามารถเช่าต่อได้หรือไม่  ยังคงเป็นคำถามของชาวชุมชนอยู่



ภาพการชุมนุมเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่หน้ากระทรวงคมนาคม

กระนั้นเองชุมชนริมทางรถไฟหลังวัดช่องลม-หลังฉาง เช่าที่ดินการรถไฟฯอายุสัญญาเช่า 30 ปี ซึ่งผ่านมาแล้ว 10 ปี กระทรวงคมนาคมมีความประสงค์ต้องการใช้ที่ดินย่านนั้น 270 ไร่ ที่เป็นที่ดินของการรถไฟฯ และส่วนหนึ่งนั้นคือพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟหลังวัดช่องลมฯด้วยนั้นเอง  การใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นโครงการหารายได้เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของการรถไฟฯเอง และหารายได้เข้ารัฐที่อยู่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก โดยให้เอกชนมาลงทุนและสร้างเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษย่านสถานีแม่น้ำ เขตยานนาวา กทม. และพยายามส่งบริษัทที่ปรึกษาโครงการมาเพื่อเจรจาให้ชาวชุมชนในการยกเลิกสัญญาหรือไม่ก็ให้ปรับการใช้พื้นที่ให้ลดลง และนั้นเองคำตอบที่ได้จากชุมชนคือจะไม่ยอมยกลิกสัญญาเช่า หรือปรับเปลี่ยนพื้นที่เช่าใดๆทั้งสิ้น   แน่นอนโครงการระดับอภิมหาโปรเจคนี่เองก็คาดหวังจะได้นักลงทุนจากต่างประเทศนั้นเอง 
ดังนั้นเครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงไม่เห็นด้วยในทุกประการทั้งปวงในการผ่อนปรนให้กลุ่มทุนต่างๆสามารถเป็นผู้ครอบครองที่ดินรัฐได้อย่างยาวนาน  ขณะที่คนจนอีกหลายล้านชีวิตยังขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย   อีกทั้งข้อเสนอของภาคประชาชน “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม” ในการขอสิทธิ์ในการจัดการที่ดินรัฐในรูปแบบแปลงรวมโดยชุมชนจัดการตนเอง  กลับไม่ได้รับการตอบสนอง
นโยบายที่ประกาศไว้หลังจากการเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศที่จะ “ปฏิรูปประเทศ” ในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ทางสังคมที่มีอยู่ในตอนนั้น   แต่ปรากฏการณ์ตอนนี้ที่เห็นอยู่ยังไม่มีนโยบายใดที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้เลย   ตรงกันข้าม นโยบายที่ออกมากลับซ้ำเติมประชาชนกลุ่มคนชั้นล่างมากเป็นอย่างยิ่ง เช่น การทวงคืนผืนป่ากับกลุ่มคนจนที่อาศัยอยู่ในป่ามาอย่างยาวนาน   ความพยายามที่จะลดการสนับสนุนการศึกษาลง  หรือความพยายามที่จะไม่สนับสนุนการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างถ้วนหน้า  ส่วนข้อเสนอของภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นกฏหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า , นโยบายการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยชุมชน , นโยบายธนาคารที่ดิน ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานและรัฐบาล
ลำพังการผูกขาดการถือครองที่ดินโดยกลุ่มทุนในประเทศก็แทบจะไม่เหลือที่ดินไว้สำหรับทำกินและอยู่อาศัยของคนยากจนแล้ว  แต่รัฐบาลนี้กลับเปิดช่องการสร้างปัญหาแย่งชิงทรัพยากรที่ดินข้ามชาติขึ้นมา  หากไม่ได้เป็นรัฐบาลที่มาโดยการรัฐประหาร  อาจจะถูกตราหน้าเป็น “รัฐบาลขายชาติ” และถูกเดินขบวนขับไล่ไปเสียแล้วก็ได้ !!!


ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม

  ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลาขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค “ที่ดิน” ทรัพยากรอันมีจำก...