วันที่อยู่อาศัยโลก
ในสถานการณ์ไล่รื้อชุมชนอย่างต่อเนื่อง
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ยิ่งใกล้วันที่อยู่อาศัยโลกเข้าไปทุกที
สถานการณ์การไล่รื้อชุมชนยังคงมีอย่างเข้มข้นทุกวัน
ไม่ว่าจะโดนไล่รื้อจากนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลเอง หรือว่าการไล่รื้อจากการลงทุนพัฒนาที่ดินของเอกชนเอง
ยังคงประสบกันไม่ว่างเว้น
หากจะดูเพียงในช่วงเดือนกันยายนที่กำลังจะผ่านไปแค่ช่วงเดือนเดียว
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้ทราบข่าวชาวบ้านต้องถูกรื้อย้ายกระจัดกระจายกันไปอย่างที่ไม่มีจุดหมาย
ยกตัวอย่างเช่น ชุมชนหลังบิ๊กซี สุขสวัสดิ์ 39 ราว 50 หลังคาเรือน หลังจากแจ้งขอความช่วยเหลือมาไกล่เกลี่ยกับทางเครือข่ายสลัม
4 ภาค ได้ไม่ถึง 3 อาทิตย์ ชุมชนนี้ก็ได้หายไปแล้วเพราะทนแรงกดดัน
ขมขู่จะดำเนินคดีไม่ไหว จำต้องย้ายหนีออกเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้โดนดำเนินคดี
ทั้งๆที่ขั้นตอนทางกฎหมายยังคงยืดระยะออกไปได้นาน แต่ด้วยความไม่รู้ทางกฎหมายของชาวบ้านเอง
ทำให้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่มักจะใช้ข้ออ้างนี้ในการขู่ชาวบ้านให้เกรงกลัวแล้วรีบย้ายออกไป
ไม่ว่าจะเป็นชุมชนเพิ่มสิน ซอย 13 เขตสายไหม จำนวน 20 กว่าหลังคาเรือน ,
ชุมชนหลังหมู่บ้านเปรมฤทัย เขตประเวศ จำนวน 65 หลังคาเรือน , ชุมชนโรงถ่าน
เขตจอมทอง จำนวนราว 30 หลังคาเรือน ล้วนแล้วแต่ต้องถูกไล่รื้อไปในเพียงเดือน ก.ย.
58 นี้
สภาพชาวบ้านและสภาพบ้าน
ชุมชนเพิ่มสิน 13 ซึ่งปัจจุบันรื้อย้ายไปหมดแล้ว
คำถามต่อไล่แล้วชาวบ้านเหล่านั้นจะไปอยู่ไหน
ส่วนใหญ่แล้วก็จะหาห้องเช่าราคาถูกที่มีความแออัดมาเช่าอยู่ใกล้ๆบริเวณเดิม
บางครอบครัวที่ไม่มีเงินพอที่จะเช่าก็หาบุกรุกที่ดินว่างเปล่าในที่ใกล้เคียงชุมชนเดิมนั้นละเป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะแบบไหนก็ต้องมานับวันรอถูกไล่หาที่อยู่ใหม่วนเวียนไปมาอย่างไม่จบสิ้นอยู่ดี
แหละนี่คือโจทย์ใหญ่ที่สังคมโลกได้ตระหนักแล้วว่า
“ที่อยู่อาศัย” ที่เป็นสิ่งสำคัญในปัจจัยสี่ที่มนุษย์จะขาดไม่ได้กำลังเป็นปัญหาต่อสังคมโลก
จึงเป็นที่มาการประกาศเป็นวันที่อยู่อาศัยโลกขึ้นมา โดยให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม ของทุกปี
เป็นวันที่ให้สังคมโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของที่อยู่อาศัย
ให้รัฐบาลแต่ละประเทศได้ใส่ใจการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง
กลับมาดูประเทศไทยอีกครั้ง
อย่างที่ได้เกริ่นสถานการณ์โดยรวมช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมานั้นคือชุมชนที่ถูกรื้อย้ายไปแล้ว แต่ชุมชนที่กำลังจะถูกรื้อย้ายละ ยังคงมีอีกจำนวนมาก จากการสำรวจร่วมกับทางการเคหะแห่งชาติจะพบว่า
ชุมชนที่อยู่ในสถานการณ์จะต้องถูกรื้อย้ายที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีจำนวนมากถึงกว่า 60 ชุมชน และที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้ลงพื้นที่ล่าสุดที่กำลังมีข้อพิพาทกันเริ่มจะเข้าบรรยากาศที่จะรุนแรงกันในพื้นที่นั้นคือ
“ชุมชนโรงช้าง”
ชุมชนโรงช้าง
เป็นชุมชนขนาดกลางๆ มีประชากรราว 80 หลังคาเรือน ตั้งอยู่ในเขตบางกะปิ ซอยรามคำแหง
60 แยก 3 อยู่ในที่ดินที่ยังไม่แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่แท้จริง กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาบุกเบิกกลุ่มแรกราว 20
ปีผ่านมาแล้วเล่าว่าที่บริเวณชุมชนเดิมเป็นป่ารกร้าง แล้วทางกรุงเทพมหานครได้เข้ามาจัดทำเป็นที่เลี้ยงแพะ
ทำคอกไว้สำหรับช้าง มีการวางกองหิน กองดิน
จากทางสำนักงานเขตบางกะปิ
บางหลังก็มาปลูกอยู่จากคำชวนของพนักงานสำนักงานเขตเองว่าให้มาอยู่ช่วยเฝ้าดูแลของหลวงให้หน่อย
แล้วก็เริ่มมีการชักชวนญาติ พี่น้อง คนรู้จัก
เข้ามาอยู่กันจนกลายเป็นชุมชนในที่สุด
สถานการณ์ปัจจุบันมีกลุ่มคนได้เข้ามาอ้างตัวเป็นเจ้าของที่ดินที่ชุมชนตั้งอยู่
ซึ่งเป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ติดกับชุมชนโรงช้างนั้น
มาแจ้งให้ชาวบ้านรีบย้ายออกจากพื้นที่โดยเร็วหากไม่เช่นนั้นจะทำการดำเนินคดีฟ้องศาล
จับกุม
เป็นคำกล่าวสร้างความเกรงกลัวให้กับชาวบ้านซึ่งก็ได้ผลระดับหนึ่ง
ชาวบ้านบางส่วนได้รับเงินจำนวน 10,000 บาท
เป็นค่ารื้อย้ายแล้วไปหาที่อยู่ใหม่เพราะเกรงจะโดนดำเนินคดี
ส่วนกลุ่มที่ไม่มีที่ไปซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ปักหลักจะขอสู้เพื่อบ้านของตัวเอง เพราะความที่เข้ามาอยู่ในครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นที่หลวงไม่ใช่ที่เอกชน
มีการดำเนินการเรื่องต่างๆโดยหน่วยงานราชการ จึงปักใจเชื่อว่าที่ตั้งชุมชนส่วนหนึ่งนั้นเป็นที่ของทางราชการ
ดังนั้นความต้องการของชาวบ้านเองต้องการที่จะตรวจสอบขอบเขตที่ดินให้ชัดเจนว่าที่ดินแปลงที่ชุมชนตั้งอยู่เจ้าของที่แท้จริงเป็นใครกันแน่
โดยจะต้องมีหน่วยงานที่เป็นกลางเข้าร่วมการตรวจสอบด้วย ทางผู้อ้างว่าเป็นผู้แทนเจ้าของที่ดินไม่ได้คิดที่จะเจรจากับชาวบ้านแต่อย่างไร กลับนำรถแม็คโครเข้ามาไถ
บริเวณชุมชนสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านที่ยังอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสายไฟฟ้าขาด
ท่อน้ำประปาแตก ต้นไม้ที่ชาวบ้านสู้อุตส่าห์ปลูกไว้ก็ถูกไถกลบไปหมด ครั้นชาวบ้านไปแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สน.หัวหมาก กลับได้คำกล่าวอย่างไม่เหมาะสมเชิงว่าอยากไปอยู่ที่ของเขาทำไมกันละ
แล้วเมื่อไหร่จะออกจากที่เขาไปละ เฉไฉกว่าจะลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานได้
ผู้แทนเจ้าของที่ดินนำรถแม็คโครลงมาไถพื้นที่ส่งผลกระทบเกิดความเสียหายต่อชุมชนโรงช้างบางส่วน
แล้วในวันที่ 18 กันยายน
2558 ที่ผ่านมา เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ที่อ้างเป็นผู้แทนเจ้าของที่ดิน
ที่มาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรถแม็คโคร
ซึ่งขณะลงไปนั้นแม็คโครยังคงทำงานต่อเนื่อง
ทรัพย์สินชาวบ้านบางส่วนเสียหาย
ทางเราพยายามขอดูเอกสารการแสดงตนเป็นผู้แทนเจ้าของที่ดินแต่กลับอ้างว่าไม่มีมา
พร้อมกลับบอกปฏิเสธไปว่ารถแม็คโครที่กำลังดำเนินการไม่ใช่ตนว่าจ้างมา
ทำให้คนงานพอรู้ว่ามีการกล่าวเช่นนั้นจึงหยุดการดำเนินการแล้วนำรถแม็คโครออกจากพื้นที่ชุมชนไป
วิธีการแบบนี้ไม่ใช่วิธีการใหม่
แต่เคยมีคนเคยใช้จนเป็นข่าวโด่งดังทั่วไทยมาแล้วคือกรณีรื้อบาร์เบียร์
ย่านสุขุมวิท ซึ้งใช้หลักการเดียวกันคือรื้อให้จบแล้วให้ผู้เสียหายตามฟ้องร้องเอาทีหลัง
เป็นการใช้อำนาจเถื่อนถือว่ามีเงินพอในการจ่ายค่าเสียหาย แต่ไม่อยากเสียเวลาในการเจรจาพูดคุย หากทำสำเร็จผู้ที่เดือดร้อนจะเป็นชาวบ้านทันที
เพราะไหนจะต้องเดินทางไปแจ้งความ ขึ้นศาล ในขณะที่บ้านโดนรื้อทำลายไปแล้ว
ไม่มีที่อยู่อาศัยกลับต้องมาเดินเรื่องเพื่อเรียกร้องเอาค่าเสียหายซึ่งไม่รู้จะได้เท่าไหร่
กลุ่มคนที่อ้างเป็นเจ้าของที่ดินลงชุมชนโรงช้างแจ้งให้ย้าย
แต่ไม่มีเอกสารยืนยันความเป็นเจ้าของ
นี่คือสถานการณ์การไล่รื้อชุมชนที่มีอยู่เกือบทุกวัน แต่ไม่เคยที่จะเป็นข่าวทางสื่อด้านใดๆ
แต่ทุกข์ชาวบ้านที่ต้องไร้ที่อยู่อาศัยนั้นยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งไม่มีหน่วยงานใดที่จะเข้ามาช่วยเหลือกับกรณีเช่นนี้เลย
นี่จึงเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ว่า
ต้องมีหน่วยงานในการดูแลชุมชนที่อยู่ในสถานการณ์ถูกไล่รื้อเร่งด่วน โดยเบื้องต้นเครือข่ายสลัม
4 ภาค
เห็นว่าควรมีคณะกรรมการการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินและชาวบ้านขึ้นมา
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นประธานในการไกล่เกลี่ย