เที่ยวปนงานและการเมืองใหม่
อัพยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
1..
สองสัปดาห์หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 7 ตุลาคม 2551 ผมถือโอกาสเอาช่วงที่ “เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์”
จัดกิจกรรมวันที่อยู่อาศัยสากล
หลบหนีบรรยากาศแห่งความเคร่งเดรียดทางการเมืองในกรุงเทพฯไปรับลมชมงานและสืบสานมิตรภาพผ่านความเมากับพี่น้องสลัมที่ขอนแก่น
เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้บรรลุผลทุกประการ
กระท่อมไม้ไผ่ริมทางรถไฟต้อนรับการมาของผมด้วยสายลมหนาวยามดาวพราวฟ้า ความเป็นพี่น้องลูกหลานระหว่างเอ็นจีโอกับชาวบ้านถูกตอกย้ำด้วยประเพณีงานบุญทั้งงานกฐินและงานบวชที่ผมมีโอกาสได้ร่วมกุศล
นี่ยังไม่นับสายสัมพันธ์และเรื่องราวชีวิตที่กระชับแน่นผ่านสายน้ำแห่งเมรัยหลายสิบขวด ส่วนในเชิงหน้าที่การงานนั้น ชาวสลัมขอนแก่นร่วม 300 คน
ได้ลุกขึ้นมาประกาศศักดิ์ศรีกลางเมืองด้วยริ้วขบวนรณรงค์สิทธิของคนยากคนจน
ถือเป็นครั้งแรกที่คนสลัมขอนแก่นในนาม เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์
ซึ่งเป็นองค์กรประชาชนที่สังกัดอยู่กับเครือข่ายสลัม 4 ภาค
มีความมั่นใจพอที่จะจัดกิจกรรมสาธารณะเชิงมวลชนของตนขึ้น
ความเชื่อมั่นของพวกเขามาพร้อมกับการมีส่วนร่วมของสมาชิกทุกเพศวัย เด็กๆราว 50 คน เดินอยู่ในขบวนแถวหน้า ถัดมาเป็นกลุ่มก้อนของบรรดาเจ้าของรถซาเล้ง
รถสามล้อถีบ
ที่แปลงสภาพเครื่องมือทำมาหากินให้เป็นที่ประดับประดาคำขวัญบนธงทิว คนหนุ่มคนสาวต่างจับถือป้ายผ้ารณรงค์
บนรถเครื่องเสียงแกนนำและโฆษกช่วยกันขับเคลื่อนกิจกรรมที่ไล่ตั้งแต่พิธีกรรมไหว้ศาลขอพรเจ้าพ่อหลักเมือง การป่าวประกาศจุดประสงค์การรณรงค์ที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้
ไปจนถึงการเคลื่อนพลไปที่ทำการเทศบาลและศาลากลางจังหวัดเพื่อพบปะกับผู้มีอำนาจ นอกจากบนท้องถนนแล้ว การมีส่วนร่วมยังเกิดขึ้นในโรงครัว แม่หญิงแม่ใหญ่ที่เดินไม่ไหว
พร้อมใจกันเป็นกองกำลังหุงหาข้าวปลาอาหารเตรียมไว้สำหรับผู้เดินขบวน
การเจรจาได้ผลพอควร
นายกเทศมนตรีนครขอนแก่นกล่าวประกาศจุดยืนต่อหน้าผู้ชุมนุมว่า เทศบาลเข้าใจการดำรงอยู่ของชาวสลัมอันมีสาเหตุมาจากการล่มสลายของภาคชนบท ดังนั้นจะพยายามแก้ไขปัญหาตามที่พี่น้องนำเสนอ
ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนกฏระเบียบในการปลูกสร้างที่อยู่อาศัย การออกเลขที่บ้านถาวรให้กับชุมชนที่มีสิทธิในที่ดินแล้ว พร้อมทั้งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้าราชการฝ่ายทะเบียนในกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าเรียกเก็บเงินค่าสมุดสำเนาทะเบียนบ้านฉบับละ
200 บาท
หากพบว่ามีการทำผิดจริงจะดำเนินการตามกฏหมาย สำหรับทางจังหวัด มีรองผู้ว่าราชการเป็นตัวแทนออกมารับข้อเรียกร้องและยืนยันว่าผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นจะเปิดประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองร่วมกับตัวแทนเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ภายใน
30 วัน
นอกจากปฏิบัติการในเชิงอำนาจการต่อรอง
ขวัญพลังที่มาจากรูปธรรมความสำเร็จของชุมชน
ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในขนบธรรมเนียมการเคลื่อนไหวของขบวนสลัม
ดังนั้นในช่วงบ่ายเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์จึงจัดให้มีพิธีส่งมอบพื้นที่เช่าของการรถไฟฯให้กับชุมชนพัฒนาเทพารักษ์โซน
3
เพื่อที่ชุมชนจะได้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านมั่นคงต่อไป และจากรายงานของเครือข่ายฯ ขณะนี้มีชุมชนในขอนแก่นที่มีสิทธิในที่ดินการรถไฟฯด้วยการทำสัญญาเช่าแล้ว
6 ชุมชน มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 200 ครอบครัว
โดยเป็นสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี 1 ชุมชน
ส่วนที่เหลือเป็นการเช่าในอายุสัญญาครั้งละ 3 ปี การมีสิทธิในที่ดินการรถไฟฯในลักษณะดังกล่าว
จึงเป็นหลักประกันว่าถิ่นฐานที่พี่น้องสลัมขอนแก่นบุกเบิกมาจะไม่ถูกขับไล่ไหวคลอนโดยซองประมูลของนายทุน
การงานเสร็จสรรพลงด้วยบทสรุปร่วมกันว่า จากนี้ไปพลังของเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ จะเป็นส่วนหนึ่งของพลังภาคประชาชนในขอนแก่นอย่างแน่นอน
เพราะพวกเขาพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาประกอบกิจกรรมทั้งในเชิงสิทธิที่อยู่อาศัยและสิทธิด้านอื่นๆนับจากนี้
2..ทีแรกกะว่าจะไปเที่ยวไปเมาไปร่วมงานรณรงค์
แต่ในที่สุดกิจกรรมของชาวบ้านก็ทำให้ผมอดครุ่นคิดถึงเรื่องการเมืองไม่ได้ เราจะเรียกการเคลื่อนไหวในขอนแก่นครั้งนี้ว่าอะไรถ้าไม่ใช่
การเมืองของคนจนที่มีฐานประชาธิปไตยจากข้างล่าง ซึ่งเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ได้ช่วยกันสร้างทำมาไม่ต่ำกว่า
5 ปี
แล้วการเมืองแบบที่ว่านี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไรกับ “การเมืองใหม่” ที่กำลังพูดถึงกันอยู่
ตามความเข้าใจของผม
ประวัติศาสตร์งานสลัมแยกไม่ออกจากการเมืองแบบประชาธิปไตย คนสลัมเริ่มเรียนรู้ประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญในปี
2526 – 2527
ซึ่งในช่วงนั้นเกิดการไล่รื้อสลัมในกรุงเทพฯด้วยความรุนแรง สลัมริมคลองบางอ้อถูกคอมมานโดบุกเข้ารื้อ จับกุมและสลายการชุมนุม
ส่วนสลัมตรอกไผ่สิงโตต้องเผชิญกับสภาพบ้านเรือนถูกกวาดไถโดยแทรคเตอร์ ในยุคนั้นระบบการปกครองทั้งในระดับท้องถิ่นและส่วนกลางยังไม่เป็นประชาธิปไตย กรุงเทพมหานครมีผู้ว่าฯมาจากการแต่งตั้ง “ปู่เทียม”
คือฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้กับพลเรือเอกเทียม มกรานนท์
ผู้ว่าฯของคนกรุงในขณะนั้นที่ไม่มีผลงานอะไรเลย ขณะที่ในระดับรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ดังนั้นในยามถูกขับไล่ที่ ชาวสลัมจึงไม่สามารถไปเรียกร้องอะไรกับใครได้เพราะผู้บริหารที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งย่อมไม่สนใจฟังเสียงของคนจน
เหตุการณ์ดังกล่าวแม้จะทำให้สลัมทั้งสองแห่งต้องแตกพ่าย แต่ก็เกิดคุณูปการจากความสูญเสียเช่นกัน
ชาวสลัมเริ่มรวมกลุ่มกันเป็นองค์กรเพื่อต่อต้านการไล่รื้อในชื่อ “ศูนย์รวมพัฒนาชุมชน” นอกจากจะต่อสู้ในเรื่องไล่ที่แล้ว
องค์กรสลัมในยุคนั้นยังเคลื่อนไหวในประเด็นประชาธิปไตย พวกเขาสนับสนุนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี
2528 และรณรงค์เรียกร้องให้พรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งในปี
2529 มีนโยบาย “บริการน้ำไฟ ไม่ไล่ที่ มีทะเบียนบ้าน”
ปี 2533 สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ
เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
เกิดการไล่รื้อสลัมพร้อมใจแถวพระโขนงโดยเจ้าของที่เอกชน
ฉากการไล่รื้อใกล้เคียงกับการขับไล่ในอดีตที่มีการจับกุมและสลายการชุมนุม
แต่ในครั้งนี้เมื่อมีรัฐบาลที่นายกฯมาจากการเลือกตั้งซึ่งอย่างน้อยก็เป็นประชาธิปไตยเต็มใบในทางรูปแบบ ทำให้คนสลัมมีเป้าหมายในการเรียกร้องที่ชัดเจนขึ้น
พวกเขาพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลที่มาจากประชาชนจนในท้ายสุดนายบรรหาร ศิลปอาชา
รัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้นต้องเข้ามาเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยกับเจ้าของที่ดิน มีการหยุดการไล่รื้อ ชาวบ้านได้รับค่ารื้อถอน
และการเคหะแห่งชาติจัดที่ดินบริเวณเขตประเวศไว้รองรับ
นอกจากจะคลี่คลายปัญหาชุมชนพร้อมใจได้แล้ว รัฐบาลชาติชาย ยังอนุมัติเงิน 250
ล้านบาทเพื่อเป็นงบประมาณในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยแก่ชาวสลัมโดยรวม
การไล่รื้อสลัมด้วยความรุนแรงในทั้งสองช่วงเหตุการณ์ ทำให้ขบวนการสลัมค้นพบว่า ในการต่อสู้เรื่องไล่รื้อนั้น
การสู้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมกว่าซึ่งพิสูจน์ได้จากกรณีชุมชนพร้อมใจ เพราะถึงอย่างไรนักการเมืองก็ยังต้องฟังเสียงชาวบ้าน พวกเขาต้องอาศัยประชาชนในฤดูหาเสียง
ผิดกับผู้บริหารที่มาจากรัฐราชการที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคะแนนจากใคร
และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่อธิบายว่าทำไมเมื่อเกิดการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์
2534
องค์กรสลัมจึงเข้าร่วมคัดค้านเผด็จการทหาร มีผู้นำชาวบ้าน 2 คน
ร่วมอดข้าวประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์และมีผู้แทนสลัมราว 500 คน
อยู่ในเหตุการณ์การต่อสู้พฤษภาคม 2535
อย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐบาลของนักการเมืองจะต้องฟังเสียงของประชาชนอยู่บ้างอย่างน้อยก็ในช่วงเลือกตั้ง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านโยบายต่างๆของพวกเขาจะตอบสนองต่อสิทธิประโยชน์ของคนยากจน ดังนั้นการนำเสนอ ติดตาม
กดดันให้รัฐบาลเลือกตั้งมีและปฏิบัติตามแนวนโยบายที่เอื้อต่อคนจน
จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ขบวนสลัมใช้ในการเคลื่อนไหว
ประสบการณ์ที่เห็นได้ชัดคือการผลักดันให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดการรื้อย้ายชุมชนแออัดพร้อมทั้งให้มีนโยบายแบ่งปันที่ดินของการรถไฟฯมาให้ชุมชนเช่าระยะยาว
30 ปี เพื่อทำโครงการที่อยู่อาศัย
การชุมนุมกดดันของเครือข่ายสลัม 4 ภาคทำให้การรถไฟฯต้องมีมติออกมาในปี 2543
เพื่อรับรองสิทธิการเช่าของชุมชน ถือเป็นครั้งแรกนับแต่ก่อตั้งกิจการรถไฟที่คนจนมีสิทธิในการเช่าที่ดิน
30 ปี เสมอเหมือนตระกูลคนร่ำรวย หากมองจากตัวอย่างนี้
ประชาธิปไตยของคนสลัมจึงไม่ใช่แค่การไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทน หากแต่ยังเป็นเครื่องมือในการใช้บรรลุถึงสิทธิบางอย่างของพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้การตรวจสอบนโยบายของนักการเมืองที่ให้สัญญาประชาคมไว้แต่ไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ชาวสลัมสั่งสมขึ้นเป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตย สมัยนายพิจิตต รัตกุล
เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในตอนหาเสียงมีนโยบายด้านการศึกษาไว้ว่า “มาตัวเปล่าเข้าเรียนได้เลย” ซึ่งหมายถึงเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่สังกัดกรุงเทพหมานครจะต้องเรียนฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์
ค่านม ค่าอาหาร แต่ในทางปฏิบัติสิ่งที่พบก็คือ สโลแกนเย้ยหยันของชาวสลัมที่ว่า “มาตัวเปล่ากลับบ้านได้เลย” ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองต่างต้องเสียค่าโน่นค่านี่จิปาถะ ดังนั้นเพื่อให้คำสัญญาของผู้อาสาทางการเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการปฏิบัติ
กลุ่มแม่บ้านชาวสลัมจึงรวมตัวกันไปเจรจากดดันกับผู้ว่าฯพิจิตต
จนทำให้นโยบายการเรียนฟรีกลายเป็นความจริงในท้ายสุด
3..ประชาธิปไตยในความคิดและประสบการณ์ของขบวนสลัมนั้น หากมองในเชิงรัฐศาสตร์แล้วจะมีทั้งมิติประชาธิปไตยแบบตัวแทนและประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
ประชาธิปไตยแบบตัวแทนคือการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นฐานความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจการปกครองอย่างสันติ แต่เนื่องจากในระบอบเสรีประชาธิปไตย
นักการเมืองไว้ใจไม่ได้เพราะมักมีวาระของกลุ่มทุนซ่อนเร้นอยู่ในนโยบายสาธารณะเสมอ
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในเชิงการกำกับ ตรวจสอบ และผลักดันให้ภาครัฐมีนโยบายทางการเมืองที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้คนส่วนใหญ่
ที่ผ่านมาผลของการปฏิรูปการเมืองอันอวดโฉมอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้มุ่งเน้นไปที่การตั้งกลไกตรวจสอบนักการเมือง
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเสนอกฏหมายและการขยายขอบข่ายสิทธิเสรีภาพของภาคพลเมือง
แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มพื้นที่ทางอำนาจให้แก่ฝ่ายบริหารด้วยเช่นกัน จนทำให้รัฐบาลทักษิณกลายมาเป็นระบอบทักษิณอันแข็งแกร่งที่สามารถใช้ความเข้มแข็งมากีดกันด้านอื่นๆของการปฏิรูปการเมือง ทั้งในเชิงการเข้าแทรกแซงองค์กรตรวจสอบอิสระ การแทรกแซงสื่อ
การนำเอานโยบายประชานิยมในภาคชนบทมาสยบมิติด้านสิทธิเสรีภาพ เป็นต้นว่า
การฆ่าตัดตอนในประเด็นยาเสพติด
การใช้ความรุนแรงกับผู้คัดค้านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐดังกรณีท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย
รวมทั้งการรวบอำนาจเพื่อเปิดทางสู่การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจพลังงาน
การแก้ไขกฏหมายสรรพสามิตรเพื่อเอื้อต่อธุรกิจครอบครัวและการขายหุ้นด้านกิจการโทรคมนาคมแก่บริษัทต่างชาติ
สภาพการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการส่อถึงการปฏิรูปการเมืองที่ล้มเหลว
เพราะสิ่งที่ถูกปฏิรูปไม่ใช่สิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมการเมืองของภาคประชาชน
หากแต่กลายเป็นประสิทธิภาพในเชิงการบริหารอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของรัฐบาลในลักษณะของเผด็จการรัฐสภา
และนี่คือมูลเหตุที่นำไปสู่การคัดค้านต่อต้านระบอบทักษิณจากหลายภาคส่วนตั้งแต่ปี
2548 เรื่อยมาจนถึงการเรียกร้องให้เกิด “การเมืองใหม่” ในปัจจุบัน
แต่อะไรคือความ “ใหม่”
ของการเมือง อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับจินตนาการและทัศนะทางชนชั้นที่ใช้ในการมอง สำหรับขบวนการชาวสลัมอย่างเครือข่ายสลัม 4
ภาค ประเด็นในเรื่องการเมืองใหม่นอกจากจะต้องยืนยันที่มาของรัฐบาลว่าจะต้องมาจากการเลือกตั้งอันถือเป็นฐานที่มาอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว อีกประเด็นที่สำคัญคือการเร่งเครื่องปฏิรูปการเมืองเพื่อขยายสิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วมตัดสินใจทางการเมืองของภาคประชาชนรวมถึงการสร้างพลังอำนาจการต่อรองของคนยากคนจนเพื่อเข้าถึงสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ ผมเห็นคนสลัมพูดถึงการปฏิรูปที่ดิน
การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมด้วยระบบการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า
พูดถึงเรื่องการปฏิรูปสื่อที่ต้องเปิดทางให้ผู้เสียเปรียบมีช่องทางในการสื่อสารสาธารณะมากขึ้น
พูดถึงเรื่องสิทธิของชุมชนในการตั้งถิ่นฐานอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตและพูดถึงการปฏิรูประบบการศึกษาที่รัฐต้องจัดการศึกษาฟรีโดยชุมชนมีส่วนร่วม
มิติทางการเมืองเหล่านี้ หากพูดอย่างตรงไปตรงมา
มันก็คือข้อเรียกร้องที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่เข้มข้นขึ้น เป็นประชาธิปไตยทางตรงมากขึ้น เพื่อที่คนยากจนจะได้เข้าไปกำหนดโครงสร้างกฏหมายรวมทั้งนโยบายที่จะเอื้อต่อชีวิตของพวกเขา ซึ่งถือเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยของขบวนการสากล ภาคประชาชนในละตินอเมริกามีการริเริ่มอย่างเป็นรูปธรรมที่จะสถาปนาระบบประชาธิปไตยทางตรงเพื่อให้เป็นกลไกคู่ขนานในการตรวจสอบถ่วงดุลย์การทำงานของระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ดังเช่นตัวอย่างการสร้างเขตปกครองตนเองของขบวนการซาปาติสต้าในเม็กซิโก การมีส่วนร่วมกำหนดงบประมาณเพื่อการจัดการชีวิตสาธารณะของชุมชนในเมืองปอร์โตอเลเกร ประเทศบราซิล
นี่คือเนื้อหาการเมืองใหม่ของคนจนกลุ่มหนึ่งที่ผมได้สัมผัสรับรู้มา คิดว่าคงแตกต่างอย่างแน่นอนกับกระแสการเมืองแบบชนชั้นนำที่ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังพูดกันอยู่ เพราะมันเป็น “การเมืองใหม่”
ที่อยู่บนเส้นทางของ... การปฏิรูปการเมืองไทยสู่ประชาธิปไตยทางตรง มิใช่ทางลัดที่นำการเมืองกลับคืนสู่ระบอบอมาตยาธิปไตย.