การพัฒนาประเทศ : การรับผิดชอบผลกระทบต่อคนจนของรัฐบาล
(ตอนที่ 2)
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในตอนที่ผ่านมาเป็นการกล่าวถึงโครงการพัฒนาระบบรางขนาดใหญ่ที่พาดผ่านตัวเมืองขอนแก่น
โดยยังไม่รู้ชะตากรรมของชาวบ้านคนจนที่อาศัยอยู่สองข้างทางรถไฟจะเป็นอย่างไร
สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้เขียนกำลังนั่งพิมพ์บทความชิ้นนี้ทางกระทรวงคมนาคม
และสำนักนโยบายและแผน การขนส่งและการจราจร
(สนข.) ที่ยังยืนยันจะใช้พื้นที่ในการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง
และโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ที่จะผ่านตัวเมืองขอนแก่น เต็มพื้นที่
(วัดจากกึ่งกลางรางปัจจุบันออกไปข้างละ 40 เมตร) ส่งผลกระทบให้ชุมชนริมทางรถไฟกว่า 2,000
หลังคาเรือน
ต้องเกิดภาวะหวาดระแวงการพัฒนาในครั้งนี้ว่าพวกตนจะถูกลอยแพด้วยรัฐมักอ้างคำว่า
“เสียสละ” ให้กับสังคม อยู่เป็นประจำ นั้น
ยังคงต้องต่อสู้กันด้วยเหตุและผลในการเจรจากันระหว่างผู้ได้รับผลกระทบ กับ
ผู้สร้างผลกระทบ ในทางออกที่สามารถไฟด้วยกันได้ทั้งคู่
หันมองลงมาในส่วนทางภาคใต้เองก็กำลังประสบชะตาเดียวกันกับชาวขอนแก่น ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ด้านการพัฒนาระบบรางทั้งระบบครั้งนี้ของกระทรวงคมนาคม
และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่สำคัญองค์กรปกครองท้องถิ่นที่จังหวัดสงขลาเองก็ตอบรับสอดคล้องกันอย่างเต็มที่
จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีชุมชนอยู่ในที่ดินของการรถไฟเป็นจำนวนมากไล่เรียงมาตั้งแต่อำเภอหาดใหญ่
จนถึงอำเภอเมือง มีจำนวน ราว 63 ชุมชน มีบ้านเรือนราว กว่า 4,000 หลังคาเรือน (
ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ปี 2554 ) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่อาศัยมาไม่ต่ำกว่า 15 –
20 ปี โดยการเช่าที่ดินระยะสั้นกับทางนายสถานีมาตั้งแต่อดีต (ข้อมูลเพิ่มเติม
อ่านได้จากบันทึก ย่างก้าวการต่อสู้ เพื่อที่อยู่อาศัย .... เครือข่ายสงขลาสามัคคี
) ปัจจุบันจังหวัดสงขลาหากจะเรียกว่าเป็นประตูทางเข้าทางใต้ของประเทศไทยก็ไม่น่าจะผิด
ความเจริญที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตึก อาคาร ที่พักอาศัย เริ่มทยอยเพิ่มขึ้น
ราคาที่ดินที่พุ่งสูงจนน่าใจหาย เป็นแหล่งรวมแรงงานจากทุกสารทิศมารวมกันสร้างเมือง
โครงการพัฒนาระบบรางที่เตรียมจะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดสงขลานั้นมีอยู่
2 โครงการใหญ่ คือ โครงการก่อสร้างโมโนเรล ระบบรางในตัวเมืองหาดใหญ่ และ
โครงการฟื้นฟูระบบรางหาดใหญ่ – สงขลา นี่ยังไม่นับรวมการพัฒนาการคมนาคมด้านอื่น
เช่น โครงการการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ หรือ โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก
สงขลา ที่จะช่วยให้เพิ่มขีดความเจริญของเมืองสงขลา
เจริญเพิ่มมากขึ้นไป
แต่ก็นั้นจะต้องแลกกับผลกระทบผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินการรถไฟฯริมสองข้างรางเดิมที่เลิกใช้ไปนานกว่า
20 ปี ที่มีขนาดใหญ่ ยาวไปตลอดแนวราง
จนบางช่วงแทบจะมองไม่เห็นเค้าโครงรางเดิม
การก่อสร้างโครงการดังกล่าวทั้ง 2 โครงการ
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรื้อที่อยู่อาศัยชาวชุมชนที่อาศัยอยู่เดิม
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย
การจัดระบบโครงการว่าจะมีมาตรการรับมือกับผลกระทบเหล่านี้ยังไง
หากจะดูสถานการณ์การปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยที่จะปลดหนี้สินขององค์กรตนเองโดยส่วนหนึ่งคือการพัฒนาระบบรางที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ยังมีการขุดกรุสมบัติที่แท้จริงออกมาของการรถไฟฯคือ “ที่ดิน”
จำนวนที่ดินการรถไฟฯที่มีทั่วประเทศมีราว 2 แสนไร่
แต่ถ้าหักส่วนที่ใช้ประโยชน์ระบบรางไปแล้วเหลือที่ดินเปล่าที่เหมาะสมในการใช้เชิงพาณิชย์
ยังคงเหลืออยู่ถึง ราว 4 หมื่นไร่ กระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาค เช่น ในกรุงเทพมหานคร ที่มีแถวย่านมักกะสัน , สถานีแม่น้ำย่านคลองเตย
และแถวย่านบ้านพักเจ้าหน้าที่รถไฟเดิม กม.11
ล้วนเป็นทำเลทอง ทำเลเพชร อย่างแท้จริง
ส่วนภูมิภาค ทางเหนือก็จะเป็นย่านสถานีรถไฟเชียงใหม่ ที่มีพื้นที่ว่างเปล่า
เตรียมทำเมกะโปรเจกคอมเพลกซ์ไว้แล้วรอเพียงนักลงทุนมาลงทุน ทางอีสาน มีทั้งในจังหวัดหนองคาย ย่านสถานีเก่า
, ขอนแก่น ย่านสถานีสนามกอล์ฟเดิม , อุบลราชธานี
ย่านสถานีรอบๆสถานีปัจจุบัน ที่ยังมีพื้นที่ว่างเปล่าทำเลงามขนาดใหญ่อยู่
ส่วนภาคใต้ก็มีทั้งในจังหวัดภูเก็ต , พังงา , สงขลา
ที่เป็นพื้นที่เป้าหมายจากคำให้สัมภาษณ์ในรายการเดินหน้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 2
พฤษภาคม 2558 โดยผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ได้กล่าวไว้
ฟังดูแบบผิวเพลินก็ดูเหมือนเป็นยุทธวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาหนี้สินอันมโหฬารของการรถไฟฯเองโดยใช้สิ่งที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด
แต่ก็อย่างเคยการกล่าวนโยบายนี้มาไม่ได้กล่าวถึงผู้อยู่อาศัยในที่ดินที่ว่าแม้แต่น้อย
ที่ผู้ว่าฯการรถไฟฯกล่าวมานั้นราวกับว่าเป็นที่ดินแปลงว่าง ไม่มีผู้อยู่อาศัย
แต่แท้จริงนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีลักษณะเป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิมอยู่กันมายาวนาน
ซึ่งหากจะถามกลุ่มคนที่เข้ามาอยู่แรกๆส่วนใหญ่ก็จะมาเป็นแรงงานให้กับรถไฟในย่านนั้นเอง
เช่น มาเป็นคนงานโยนฟืนเข้าหัวรถจักรบ้าง เป็นลูกจ้างของการรถไฟฯบ้าง แล้วได้ชักชวนญาติๆ
เพื่อนๆที่รู้จักมาอยู่รวมกันจนกลายเป็นชุมชน
และนี่เองเป็นเรื่องที่วัดใจการรถไฟฯและรัฐบาล ว่าที่ดินเมืองที่มีราคาแสนแพงเหล่านั้น
ที่เป็นที่อยู่อาศัยคนจนมาก่อน
จะนำไปให้บริษัทเอกชนรายใหญ่เข้ามาพัฒนาเชิงพาณิชย์รูปแบบต่างๆนั้น
จะมีการบริหารจัดการอย่างไร
คนจนจะอยู่อย่างไร คนรวยจะได้ใช้ที่ดินอย่างไร นี่ยังคงเป็นโจทย์ที่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน
แต่หากจะดูบทเรียนที่ผ่านมา
การรถไฟฯเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยนำที่ดินที่มีชุมชนดั้งเดิมตั้งอยู่นำไปให้บริษัทเอกชนเช่าทับที่จนเป็นข้อพิพาทการไล่รื้อระหว่างบริษัทกับชุมชน
ส่วนการรถไฟฯลอยตัวอยู่เหนือปัญหาอ้างเพียงแต่หลักกฎหมายว่าสัญญาเช่าอยู่กับเอกชนแล้วเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมในการขับไล่ แต่ไม่เคยกล่าวถึงจริยธรรม คุณธรรม
ธรรมาภิบาล
ที่หน่วยงานรัฐควรจะมีเป็นพื้นฐาน
ที่ต้องดูแลทุกข์-สุข ของประชาชน
ดังจะเห็นตัวอย่างจากกรณีข้อพิพาทเรื่องที่ดินชุมชนตลาดบ่อบัว
จังหวัดฉะเชิงเทรา กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ที่การรถไฟฯให้เช่าทับที่ หรือกรณีชุมชนหนองยวน 2 จังหวัดตรัง
ที่เกิดข้อพิพาทจนถึงขั้นจับกุมคุมขังชาวบ้านไปหลายราย ทำให้นโยบายที่ผู้ว่าฯการรถไฟฯที่กล่าวไว้ในรายการเดินหน้าประเทศไทย
จะเป็นนโยบายสร้างฝันดีให้การรถไฟฯและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
แต่จะเป็นฝันร้ายของชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินการรถไฟฯมาตั้งแต่อดีต
เป็นผู้บุกเบิกจากป่ามาเป็นเมือง
และนี่เองที่เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งในการพัฒนาประเทศที่จะสะท้อนให้เห็นถึง
“ความรับผิดชอบ”
ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่าการจัดการของรัฐบาลนี้จะเป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาลต่อประชาชนทุกชนชั้น หรือเพียงแต่อำนวยความสะดวกต่อบริษัทเอกชน ทั้งนี้การได้ความธรรมาภิบาลที่ผ่านมาไม่เคยได้จากการร้องขอ
แต่มักจะได้มาจากการต่อสู้เรียกร้องจากผู้มีอำนาจเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นเองภาคประชาชนผู้ยากไร้ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องรวมกลุ่มต่อสู้เรียกร้องกันต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นในนาม เครือข่ายสลัม 4 ภาค หรือ
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ ขบวนประชาชนกลุ่มอื่นๆ ยังคงต้องเดินหน้าถึงแม้นว่าฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามออกฎหมายลิดรอนการรวมกลุ่มเรียกร้องของประชาชนออกมาก็ตาม.