คนไร้บ้านผู้สร้างสิทธิให้กับตนเอง
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ผ่านพ้นไปด้วยดีกับงานเปิดตัวศูนย์พักคนไร้บ้าน
จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
มาเป็นประธานในการเปิดป้าย “บ้านเตื่อมฝัน” หรือชื่อทางการว่า
ศูนย์ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพคนไร้บ้านจังหวัดเชียงใหม่
พร้อมทั้งประกาศถึงโมเดลการแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือการลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และพร้อมที่จะสนับสนุนการแก้ปัญหาตามแนวทางนี้ต่อไป
ต่อด้วยพิธีมอบเลขที่บ้าน
โดยรองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่
สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้สำหรับคนไร้บ้าน
ถ้าหากขาดสิ่งนี้แล้วการยืนยันความเป็นคนไทยจะเป็นความยากลำบากยิ่งนัก
รมต.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมเปิดศูนย์พักคนไร้บ้านจังหวัดเชียงใหม่
ภายในงานเครือข่ายคนไร้บ้านได้ฉายภาพให้เห็นถึงการใช้โอกาสที่ได้มาเกิดประโยชน์มาก
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการภายในตัวศูนย์พักโดยกลุ่มคนไร้บ้านเอง ที่แตกต่างจากศูนย์พักของรัฐที่คนไร้บ้านส่วนใหญ่มักจะเรียกว่า
“คุก” นอกจากการจัดการภายในตัวอาคาร
การอยู่ร่วมกันเองของคนไร้บ้านแล้ว
กลุ่มคนไร้บ้านเชียงใหม่นี้ยังคงการมองถึงอนาคตที่จะสร้างขึ้นพร้อมกับโอกาสที่ได้มา มีการออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย จัดตั้งกลุ่มสวัสดิการช่วยเหลือกัน ส่วนในเรื่องอาชีพเพื่อหาราบได้มีความหลากหลาย
มีทั้งกลุ่มเก็บของเก่ามารีไซเคิล และอาชีพที่แต่ละคนดำรงอยู่
เนื่องจากศูนย์ที่ได้รับงบประมาณก่อสร้างมานั้นผู้อยู่อาศัยจะต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเองในการดูแลตัวอาคาร
ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ – ค่าไฟ หรือแม้แต่หากเกิดการชำรุดทรุดโทรมในอนาคต
กลุ่มคนไร้บ้านจักต้องบริหารจัดการซ่อมแซมกันเอง
ความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญกลุ่มคนไร้บ้านเชียงใหม่ยังเน้นให้เป็นอันดับต้นๆในการใส่ใจโดยได้ทำสวนผักในชั้นบนสุดของตัวอาคาร เป็นแปลงเกษตรผสมผสาน ที่ยังไม่นับรวมแปลงเกษตรที่อยู่นอกตัวเมืองอีกหนึ่งแปลงที่คนไร้บ้านจะผลัดเปลี่ยนเวรกันไปดูแล
ช่วยกันปลูก เก็บ มาจำหน่ายในเมือง
กิจกรรมเหล่านี้ทาง องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆได้เห็นความสำคัญพร้อมจะยื่นมือเข้าร่วมสนับสนุน
แปลงเกษตรบนลานดาดฟ้า
ศูนย์พักคนไร้บ้านเชียงใหม่
นี่คือตัวอย่างที่เด่นชัดในการสร้างโอกาสขึ้นมาและทำโอกาสที่ได้มาให้เกิดประโยชน์
กว่าจะได้โอกาสนั้นมาเขาเหล่านั้นต้องลงแรงมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เครือข่ายคนไร้บ้าน หนึ่งในสมาชิกของเครือข่ายสลัม
4 ภาค ที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวผลักดันการแก้ปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัยร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
(ขปส.) มาตั้งแต่ต้นการเสนอนโยบายการแก้ปัญหาคนไร้บ้านก็คือหนึ่งในข้อเรียกร้องของ
ขปส. ด้วยเช่นกัน
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
คือก้าวแรกของการก่อเกิดนโยบายการแก้ปัญหาคนไร้บ้าน ในระหว่างการชุมนุมเรียกร้องของ ขปส. กว่า 2,000 คน บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
แน่นอนเครือข่ายคนไร้บ้านคือหนึ่งในกลุ่มผู้เรียกร้องรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
และตอกย้ำชัยชนะอีกครั้งในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
ที่ตั้งกรอบงบประมาณขึ้นมาเพื่อดำเนินการนำร่องแก้ปัญหากลุ่มคนไร้บ้านจำนวน 200 หน่วย
แต่กระนั้นกว่าจะได้ใช้งบประมาณเครือข่ายคนไร้บ้านต้องรอถึงปี พ.ศ. 2559 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เครือข่ายคนไร้บ้านที่ต่อมาได้ยกระดับการรวมกลุ่มเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆมาเป็น
“สมาคมคนไร้บ้าน” ขึ้นมา
ได้ติดตามอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดจนมีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณจำนวน 118.6 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8
มีนาคม พ.ศ. 2559
หลังจากมติ ครม. ออกมา แผนการซื้อที่ดินตามพื้นที่เป้าหมายก็ได้เริ่มขึ้น แปลงแรก ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 แปลงที่ 2 ที่จังหวัดขอนแก่น วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560 แปลงที่ 3 ที่จังหวัดปทุมธานี วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561
ศูนย์พักคนไร้บ้านที่เชียงใหม่จึงเป็นแห่งแรกที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จอย่างเป็นทางการ แต่ !!! ไม่ใช่ศูนย์แรกของเครือข่ายคนไร้บ้าน
หากจะย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2544 ที่เป็นจุดเริ่มต้นการรวมกลุ่มของคนไร้ที่อยู่อาศัย ที่อาศัยหลับนอนในย่านสนามหลวง เพราะโดนผลกระทบจากนโยบาย “ปิดสนามหลวง”
เครือข่ายสลัม 4 ภาค มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
กลุ่มเพื่อนร่วมงาน และนักศึกษาจากชมรมศึกษาปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ได้ลงปูพรมสำรวจผู้อาศัยหลับนอนย่านสนามหลวงและใกล้เคียง ที่ถือว่ามีผู้อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะเยอะที่สุดแห่งหนึ่ง
ต่อมาขยายเป็นการสำรวจปูพรมทั่วกรุงเทพมหานคร
เพื่อหาจำนวนผู้เดือดร้อนที่ชัดเจนมากที่สุด ที่จะนำไปเจรจาเสนอแนวทางอย่างเป็นรูปธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เวทีเสวนาเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาคนไร้บ้านหลังนโยบายปิดสนามหลวง
หลังจากลงสำรวจ ได้พิกัดการอยู่อาศัยของคนไร้บ้าน
การพูดคุยเพื่อให้เขาเหล่านั้นรวมตัวกันเป็น “กลุ่มคนไร้บ้าน” แบบหลวมๆ
เริ่มพูดคุยปัญหา เริ่มเสนอความต้องการ
และสิ่งแรกสำคัญที่สุดที่เขาต้องการคือการหาที่พักที่ไม่โดนเจ้าหน้าที่ตามจับ และจุดรวมกลุ่มเพื่อจะพบปะพูดคุยกัน กลุ่มคนไร้บ้านต่อรองกับทางกรุงเทพมหานครเพื่อจะนอนบริเวณเต็นท์พักชั่วคราวแถวศาลแม่หมู
จนกระทั่งไม่สามารถอยู่ได้และได้ความช่วยเหลือจากทางพี่น้องเครือข่ายชุมชนริมทางรถไฟสายใต้-ตะวันตก
หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้ให้ใช้บ้านในชุมชนเป็นที่พักชั่วคราวไปก่อน และนี่คือจุดเริ่มต้นคิดในการหาศูนย์พักที่เป็นของคนไร้บ้านเอง และได้ที่ดินแปลงหนึ่งในชุมชนตลิ่งชัน
และเริ่มสร้างศูนย์พักร่วมกันเองได้ศูนย์พักชั่วคราวแห่งแรกขึ้นมา “ศูนย์พักชั่วคราวคนไร้บ้านตลิ่งชัน”
และเริ่มหาที่ดินที่มั่นคงเพื่อสร้างศูนย์พักอย่างมั่นคง จึงเข้าร่วมเรียกร้องกับเครือข่ายสลัม
4 ภาค เพื่อขอเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย
ย่านบางกอกน้อยจนได้รับการอนุมัติการเช่ามาและสร้างเป็น “ศูนย์พักคนไร้บ้าน
สุวิทย์ วัดหนู” ขึ้นมา เป็นแห่งที่สอง
และเจรจากับกระทรวงคมนาคมจนได้ที่ดินของการรถไฟฯอีกแปลงแถวย่าน หมอชิต มาก่อสร้าง
“ศูนย์พักคนไร้บ้านหมอชิต” เป็นแห่งที่สาม
แต่ต้องถูกรื้อถอนไปเพราะต่อมาถูกโครงการก่อสร้างทางด่วน
และกระทั่งได้เข้าร่วมเรียกร้องกับ ขปส. ตามข้างต้น
เครือข่ายคนไร้บ้านมิได้เรียกร้องเอางบประมาณและที่ดินอย่างเดียวเท่านั้น แต่กว่าที่รัฐบาล หน่วยงาน
จะรับฟังข้อเรียกร้องเหล่านั้น
เขาต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากเพราะนอกจากได้ที่ดินแล้วคนไร้บ้านบางส่วนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมา ได้รวมกลุ่มไปเช่าที่ดินในชุมชนย่านสถานีรถไฟพุทธมณฑลสาย
2 เพื่อสร้าง “ชุมชนใหม่คนไร้บ้าน” ขึ้นมา
และมีพื้นที่ส่วนกลางในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
และในแต่ละศูนย์ก็มีการรวมกลุ่มทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยเช่นกัน
การพิสูจน์ให้รัฐได้เห็นหากคนจนเมืองกลุ่มที่จนไม่มีแม้กระทั่งหลังคากันแดดกันฝนยังลุกขึ้นมาพัฒนาได้เช่นกัน
สร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ชุมชนใหม่คนไร้บ้าน
“บ้านเตื่อมฝัน” หรือ
ศูนย์พักคนไร้บ้านจังหวัดเชียงใหม่
จึงไม่ใช่การได้มาแบบผู้ใหญ่ใจดีมามอบให้
แต่ผ่านการต่อสู้เรียกร้องอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่ไปกับการพัฒนาตัวเอง พิสูจน์งานพัฒนาในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง
เพราะเส้นทางกว่าจะมาถึงศูนย์พักแห่งนี้ได้คนไร้บ้านเชียงใหม่ต้องโยกย้ายศูนย์พักชั่วคราวของตนเองถึงสองครั้ง
หลังจากที่พยายามเช่าอาคารร้างมาปรับปรุงเป็นที่พักให้กับกลุ่มตนเอง นี่คือการสร้างโอกาสให้กับตัวเองขึ้นมา และส่งผลเกิดเป็นโมเดลในการแก้ปัญหาในพื้นที่ต่อๆไปอีกด้วย
และจากการพิสูจน์งานพัฒนานี่ทำให้มีการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือองค์กรด้านสังคมต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือองค์กรเอกชนอย่าง
มูลนิธิ scg ที่ได้เข้ามาสนับสนุนการทำกิจกรรมบางส่วน
นี่ต่างหากคือโมเดลที่สร้างจากภาคประชาชนโดยแท้จริง และเพียงรัฐบาลหันมามองให้ความสำคัญก็จะสามารถต่อยอดผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนขึ้นโดยประชาชนลุกขึ้นมาทำเอง
!