ผลักชาวบ้านไปกู้แบงค์ ขึ้นดอกเบี้ยคนจน
พอช. ยังเป็นองค์กรเพื่อชุมชนอยู่หรือไม่ ?
อัภยุทย์ จันทรพา
ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช.
เป็นองค์กรของรัฐแนวใหม่ในลักษณะองค์การมหาชน ที่เน้นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคีการพัฒนาต่างๆ โดยมีวิสัยทัศน์อยู่ที่
การเป็นองค์กรที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของสังคมจากฐานรากด้วยพลังองค์กรชุมชนและประชาสังคม
ภายหลังการก่อตั้งในปี 2543 พอช.
มีบทบาทการทำงานอย่างกว้างขวางครอบคลุมหลายเนื้องานของการพัฒนา เป็นต้นว่า
การทำโครงการที่อยู่อาศัยบ้านมั่นคง
การฟื้นฟูชุมชนและจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น การจัดสวัสดิการชาวบ้าน รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทชุมชน
อย่างไรก็ตามในระยะหลัง พอช.
มักถูกองค์กรประชาชนและเครือข่ายประชาสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวทางการทำงานว่า มุ่งเน้นในเชิงปริมาณมากกว่าจะเปิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงให้กับภาคประชาชนเพื่อสร้างสรรค์งานพัฒนาในเชิงคุณภาพ อันเป็นทิศทางที่ถูกบรรจุอยู่ในวิสัยทัศน์ของ
พอช. เอง
ตัวอย่างอันชัดเจนของข้อวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองดังกล่าวก็คือ เรื่องราวฉาวโฉ่ของการคัดสรรคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของ
พอช. ที่มีการกระทำอย่างเร่งรีบ รวบรัด
และไม่เปิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางให้กับองค์กรประชาชนกลุ่มต่างๆที่อยู่นอกโครงสร้างและกลไกการทำงานของ
พอช.
นอกจากเรื่องการสรรหาบอร์ดที่ถูกตีแผ่จนกลายแป็นประเด็นสาธารณะแล้ว ยังมีรูปธรรมการทำงานอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า พอช. ได้ละเลยหลักการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กรประชาชน ซึ่งเป็นผู้รับผลโดยตรงจากการกำหนดนโยบายของ
พอช.
เรื่องที่ว่าก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนจากร้อยละ 4
ไปเป็นร้อยละ 6 ต่อปี
โดยการกำหนดให้ชุมชนไปกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ( ธอส. )
แทนการกู้ยืมจากกองทุนของ พอช.
สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนจะมีกรอบวงเงินไม่เกิน
300,000 บาท ต่อครอบครัว
ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งเป็นเงินกู้เพื่อซื้อที่ดินและเงินกู้สร้างบ้านอย่างละครึ่ง มีระยะเวลาผ่อนชำระคืน 15 ปี โดย พอช. จะคิดดอกเบี้ยจากชุมชนในอัตราคงที่ร้อยละ
4 ต่อปี ที่ผ่านมามีการใช้เงินกองทุน
พอช. ไปราว 2,300 ล้านบาท
เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ชุมชนแออัดในการทำโครงการบ้านมั่นคงประมาณ 70,000
หน่วย จากจำนวนที่ พอช. ตกลงไว้กับรัฐบาล 300,000 หน่วย
แม้จะเหลือเป้าหมายในการทำโครงการบ้านมั่นคงกว่าอีก
200,000 หน่วย แต่ พอช.
อ้างว่าเม็ดเงินของกองทุนใกล้หมดแล้ว
ดังนั้นจึงมีมติบอร์ดเมื่อเดือนมิถุนายน 2551 ให้ชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการ ไปขอใช้สินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่ง
พอช. ได้ไปทำข้อตกลงไว้กับธนาคารแล้ว
โดยจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ย 4 เปอร์เซนต์ ใน 2 ปีแรก จากนั้นในปีที่ 3 ถึง ปีที่ 15
จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 6 เปอร์เซนต์ ต่อปี
การตัดสินใจของ พอช.
ที่จะลอยแพชาวบ้าน
โดยปล่อยให้ชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคงต้องไปเผชิญกับกระแสอัตราดอกเบี้ยตามกลไกตลาดของธนาคาร จึงเป็นการกำหนดนโยบายทางสังคมที่ขาดซึ่งความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ดังเหตุผลหลายประการ
ประการแรก
แทนการผลักดันให้ชาวบ้านไปกู้เงินแบงค์แล้วต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น พอช. ในฐานะองค์กรด้านการพัฒนาสังคม ควรต้องแสดงความเข็งขันและยืนหยัดที่จะขอเงินเพิ่มจากรัฐบาลเพื่อนำมาใส่กองทุน
รวมถึงแสวงหาความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชนในการผลักดันให้เรื่องนี้กลายเป็นวาระทางสังคมที่รัฐบาลต้องให้ความสนใจ ทั้งนี้เพราะเงินกองทุนของ พอช.
ที่ไม่พอปล่อยกู้นั้น
มีสาเหตุโดยตรงมาจากนโยบายบ้านมั่นคงของภาครัฐ
ที่ต้องการปรับปรุงและพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดไม่ให้อยู่ในสภาพสลัม
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลกำหนดเป้าหมายปริมาณของโครงการไว้มาก รัฐบาลก็ต้องจัดสรรงบประมาณในการทำโครงการเพิ่มขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลให้เงินเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท
โดยการทยอยจ่ายปีละ 1,000 ล้านบาท
กองทุนของ พอช.
ก็น่าจะมีเม็ดเงินเพียงพอที่จะหมุนเวียนสินเชื่อให้กับชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคง
ประการที่สอง
การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วเปลี่ยนให้ระบบธนาคารมาคอยดูแลชะตากรรมของคนจน
ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลทางตรงต่อภาวะรายจ่ายในครัวเรือนของครอบครัวผู้ใช้สินเชื่อ คาดการณ์กันว่าผู้กู้ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ
100 บาท ในช่วงตั้งแต่ปีที่ 3 ถึงปีที่ 15 คำถามคือว่าแล้วไฉนประเด็นสำคัญที่กระทบต่อค่าครองชีพของผู้คนกว่า
200,000 ครอบครัวที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคง จึงขาดกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจากเครือข่ายประชาชนกลุ่มต่างๆ เครือข่ายสลัม 4 ภาค องค์กรที่เคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิที่อยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน ไม่เคยรับรู้ต่อการเกิดขึ้นของนโยบายนี้
ไม่มีการจัดเวทีประชาพิจารณ์ตามชุมชนที่ประสงค์จะทำโครงการบ้านมั่นคงเพื่อฟังทัศนะของชาวบ้านต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ย
บอร์ด 3 คน
ที่เป็นตัวแทนสายชุมชนก็ไม่เห็นทุกข์ร้อนที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาถกเถียงพูดคุยกับเครือข่ายต่างๆที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว พอช. ซึ่งเป็นองค์กรแนวใหม่ของรัฐ ให้ความเคารพต่อหลักการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนหรือไม่เพียงใด
ประการที่สาม นโยบายนี้ถือเป็นนโยบายดอกเบี้ยที่สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาต่ำ เพื่อกระตุ้นธุรกิจก่อสร้างและวงการอสังหาริมทรัพย์ เช่นออกมาตรการให้ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย
และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปล่อยเงินกู้ร้อยละ
2.75 ต่อปี ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 30 ปี เพื่อให้ข้าราชการกู้ยืมไปซื้อบ้าน แต่คนจนในโครงการบ้านมั่นคงของ พอช.
กลับต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยถึงร้อยละ 6 เปอร์เซนต์ต่อปี ทั้งๆที่ชาวชุมชนได้รับความช่วยเหลือจากรัฐน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสวัสดิการต่างๆที่กลุ่มข้าราชการได้รับ
นโยบายทางสังคมอันผิดพลาดดังที่กล่าว
สมควรที่จะต้องได้รับการทบทวนการแก้ไขโดยเร่งด่วน เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในฐานะองค์กรภาคประชาชนที่มีจุดยืนปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัยของคนยากจนในเมือง ขอเรียกร้องให้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่กำกับดูแล พอช. ดำเนินการดังต่อไปนี้
หนึ่ง
ให้มีนโยบายให้ พอช.
แก้ไขมติบอร์ดที่ให้ชุมชนไปใช้สินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ในอัตราดอกเบี้ย 6
เปอร์เซนต์ต่อปี โดยให้กลับมาใช้สินเชื่อจากกองทุน
พอช. ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี เพราะกองทุนของ
พอช. ยังพอมีเงินเหลืออยู่และเมื่อนำมารวมกับเงินผ่อนชำระเฉลี่ยเดือนละ 15
ล้านบาทของชุมชนที่กู้ไปก่อนหน้านี้
จึงทำให้ในระหว่างนี้ พอช.
ยังมีศักยภาพที่จะปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีได้
สอง
ให้มีนโยบายเพิ่มงบประมาณด้านสินเชื่อแก่กองทุน พอช. อีก 5,000
ล้านบาท โดยเสนอของบจากรัฐบาลปีละ 1,000
ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้ พอช.
มีเงินทุนหมุนเวียนที่จะปล่อยเงินกู้แก่ชุมชนที่อยู่เป้าหมายโครงการบ้านมั่นคงแต่ยังไม่ได้ทำโครงการอีกกว่า
200,000 ครอบครัวในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 เปอร์เซนต์ นอกจากนี้เงินที่รัฐบาลอนุมัติเพิ่มปีละ 1,000
ล้านบาทนั้น
ยังถือเป็นงบที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง
เพราะเป็นเงินที่ชุมชนกู้ไปใช้ซื้อที่ดินหรือสร้างบ้านซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มเม็ดเงินให้กับวงการธุรกิจก่อสร้าง
สาม
ให้มีนโยบายให้ พอช. ปฏิรูปการทำงานขององค์กรให้มีธรรมมาภิบาลขึ้น
และเปิดการมีส่วนร่วมให้กับเครือข่ายภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า
ไม่ใช่เน้นเฉพาะการทำงานกับแกนนำและชาวบ้านที่อยู่ภายใต้กลไกการจัดตั้งของ
พอช.
โดยการปฏิรูปควรจะเริ่มต้นจากการเริ่มกระบวนการสรรหาคณะกรรมการบริหารกันใหม่ ไม่ใช่ยอมรับบอร์ดชุดล่าสุดที่ภาคประชาสังคมกำลังตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของกระบวนการคัดสรร
ห้วงเวลานี้จึงถือเป็นเวลาที่เหมาะสม
ที่จะยกเครื่องสถาบันอันมีรากฐานการก่อเกิดมาจากแรงขับเคลื่อนของภาคประชาสังคม ทั้งนี้เพื่อให้ พอช. เป็นองค์กรที่มีบุคลิก เปิดเผย
โปร่งใส ยอมรับความเห็นต่าง
และเคารพต่อการมีส่วนร่วมของเครือข่ายประชาชนในการกำหนดนโยบายองค์กร ไม่ใช่ปล่อยให้ พอช.
เดินหนีห่างจากปรัชญาและวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของตนเหมือนอย่างทุกวันนี้.