วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผลักชาวบ้านไปกู้แบงค์ ขึ้นดอกเบี้ยคนจน พอช. ยังเป็นองค์กรเพื่อชุมชนอยู่หรือไม่ ?

ผลักชาวบ้านไปกู้แบงค์    ขึ้นดอกเบี้ยคนจน
พอช.  ยังเป็นองค์กรเพื่อชุมชนอยู่หรือไม่ ?

อัภยุทย์   จันทรพา   ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค

          สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช.    เป็นองค์กรของรัฐแนวใหม่ในลักษณะองค์การมหาชน   ที่เน้นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคีการพัฒนาต่างๆ   โดยมีวิสัยทัศน์อยู่ที่   การเป็นองค์กรที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของสังคมจากฐานรากด้วยพลังองค์กรชุมชนและประชาสังคม
          ภายหลังการก่อตั้งในปี 2543    พอช. มีบทบาทการทำงานอย่างกว้างขวางครอบคลุมหลายเนื้องานของการพัฒนา  เป็นต้นว่า   การทำโครงการที่อยู่อาศัยบ้านมั่นคง     การฟื้นฟูชุมชนและจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น   การจัดสวัสดิการชาวบ้าน    รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทชุมชน  
          อย่างไรก็ตามในระยะหลัง   พอช.  มักถูกองค์กรประชาชนและเครือข่ายประชาสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวทางการทำงานว่า   มุ่งเน้นในเชิงปริมาณมากกว่าจะเปิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงให้กับภาคประชาชนเพื่อสร้างสรรค์งานพัฒนาในเชิงคุณภาพ   อันเป็นทิศทางที่ถูกบรรจุอยู่ในวิสัยทัศน์ของ พอช. เอง
          ตัวอย่างอันชัดเจนของข้อวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองดังกล่าวก็คือ   เรื่องราวฉาวโฉ่ของการคัดสรรคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของ พอช.     ที่มีการกระทำอย่างเร่งรีบ   รวบรัด   และไม่เปิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางให้กับองค์กรประชาชนกลุ่มต่างๆที่อยู่นอกโครงสร้างและกลไกการทำงานของ พอช.
          นอกจากเรื่องการสรรหาบอร์ดที่ถูกตีแผ่จนกลายแป็นประเด็นสาธารณะแล้ว   ยังมีรูปธรรมการทำงานอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า   พอช. ได้ละเลยหลักการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กรประชาชน  ซึ่งเป็นผู้รับผลโดยตรงจากการกำหนดนโยบายของ พอช.    เรื่องที่ว่าก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนจากร้อยละ 4 ไปเป็นร้อยละ 6 ต่อปี    โดยการกำหนดให้ชุมชนไปกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ( ธอส. ) แทนการกู้ยืมจากกองทุนของ พอช.


          สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนจะมีกรอบวงเงินไม่เกิน 300,000 บาท ต่อครอบครัว   ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งเป็นเงินกู้เพื่อซื้อที่ดินและเงินกู้สร้างบ้านอย่างละครึ่ง    มีระยะเวลาผ่อนชำระคืน 15 ปี   โดย พอช. จะคิดดอกเบี้ยจากชุมชนในอัตราคงที่ร้อยละ 4 ต่อปี    ที่ผ่านมามีการใช้เงินกองทุน พอช. ไปราว 2,300 ล้านบาท   เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ชุมชนแออัดในการทำโครงการบ้านมั่นคงประมาณ 70,000 หน่วย จากจำนวนที่ พอช. ตกลงไว้กับรัฐบาล 300,000 หน่วย
          แม้จะเหลือเป้าหมายในการทำโครงการบ้านมั่นคงกว่าอีก 200,000 หน่วย   แต่ พอช. อ้างว่าเม็ดเงินของกองทุนใกล้หมดแล้ว   ดังนั้นจึงมีมติบอร์ดเมื่อเดือนมิถุนายน 2551 ให้ชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการ   ไปขอใช้สินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่ง พอช. ได้ไปทำข้อตกลงไว้กับธนาคารแล้ว   โดยจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ย 4 เปอร์เซนต์ ใน 2 ปีแรก   จากนั้นในปีที่ 3 ถึง ปีที่ 15 จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 6 เปอร์เซนต์ ต่อปี
          การตัดสินใจของ พอช. ที่จะลอยแพชาวบ้าน   โดยปล่อยให้ชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคงต้องไปเผชิญกับกระแสอัตราดอกเบี้ยตามกลไกตลาดของธนาคาร   จึงเป็นการกำหนดนโยบายทางสังคมที่ขาดซึ่งความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง    ดังเหตุผลหลายประการ
          ประการแรก   แทนการผลักดันให้ชาวบ้านไปกู้เงินแบงค์แล้วต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น    พอช. ในฐานะองค์กรด้านการพัฒนาสังคม  ควรต้องแสดงความเข็งขันและยืนหยัดที่จะขอเงินเพิ่มจากรัฐบาลเพื่อนำมาใส่กองทุน   รวมถึงแสวงหาความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชนในการผลักดันให้เรื่องนี้กลายเป็นวาระทางสังคมที่รัฐบาลต้องให้ความสนใจ   ทั้งนี้เพราะเงินกองทุนของ พอช. ที่ไม่พอปล่อยกู้นั้น  มีสาเหตุโดยตรงมาจากนโยบายบ้านมั่นคงของภาครัฐ  ที่ต้องการปรับปรุงและพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดไม่ให้อยู่ในสภาพสลัม   ดังนั้นเมื่อรัฐบาลกำหนดเป้าหมายปริมาณของโครงการไว้มาก   รัฐบาลก็ต้องจัดสรรงบประมาณในการทำโครงการเพิ่มขึ้น   ซึ่งหากรัฐบาลให้เงินเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท โดยการทยอยจ่ายปีละ 1,000 ล้านบาท    กองทุนของ พอช. ก็น่าจะมีเม็ดเงินเพียงพอที่จะหมุนเวียนสินเชื่อให้กับชุมชนที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคง
          ประการที่สอง    การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วเปลี่ยนให้ระบบธนาคารมาคอยดูแลชะตากรรมของคนจน   ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลทางตรงต่อภาวะรายจ่ายในครัวเรือนของครอบครัวผู้ใช้สินเชื่อ   คาดการณ์กันว่าผู้กู้ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 100 บาท ในช่วงตั้งแต่ปีที่ 3 ถึงปีที่ 15    คำถามคือว่าแล้วไฉนประเด็นสำคัญที่กระทบต่อค่าครองชีพของผู้คนกว่า 200,000 ครอบครัวที่ยังไม่ได้ทำโครงการบ้านมั่นคง   จึงขาดกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจากเครือข่ายประชาชนกลุ่มต่างๆ   เครือข่ายสลัม 4 ภาค   องค์กรที่เคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิที่อยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน   ไม่เคยรับรู้ต่อการเกิดขึ้นของนโยบายนี้   ไม่มีการจัดเวทีประชาพิจารณ์ตามชุมชนที่ประสงค์จะทำโครงการบ้านมั่นคงเพื่อฟังทัศนะของชาวบ้านต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ย    บอร์ด 3 คน ที่เป็นตัวแทนสายชุมชนก็ไม่เห็นทุกข์ร้อนที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาถกเถียงพูดคุยกับเครือข่ายต่างๆที่มีอยู่ทั่วประเทศ   ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า   แท้จริงแล้ว พอช. ซึ่งเป็นองค์กรแนวใหม่ของรัฐ  ให้ความเคารพต่อหลักการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนหรือไม่เพียงใด
          ประการที่สาม   นโยบายนี้ถือเป็นนโยบายดอกเบี้ยที่สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน   ขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาต่ำ   เพื่อกระตุ้นธุรกิจก่อสร้างและวงการอสังหาริมทรัพย์   เช่นออกมาตรการให้ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์  ปล่อยเงินกู้ร้อยละ 2.75 ต่อปี ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 30 ปี   เพื่อให้ข้าราชการกู้ยืมไปซื้อบ้าน   แต่คนจนในโครงการบ้านมั่นคงของ พอช. กลับต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยถึงร้อยละ 6 เปอร์เซนต์ต่อปี   ทั้งๆที่ชาวชุมชนได้รับความช่วยเหลือจากรัฐน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสวัสดิการต่างๆที่กลุ่มข้าราชการได้รับ
          นโยบายทางสังคมอันผิดพลาดดังที่กล่าว   สมควรที่จะต้องได้รับการทบทวนการแก้ไขโดยเร่งด่วน   เครือข่ายสลัม 4 ภาค  ในฐานะองค์กรภาคประชาชนที่มีจุดยืนปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัยของคนยากจนในเมือง   ขอเรียกร้องให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์   ที่กำกับดูแล พอช. ดำเนินการดังต่อไปนี้
          หนึ่ง   ให้มีนโยบายให้ พอช. แก้ไขมติบอร์ดที่ให้ชุมชนไปใช้สินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ในอัตราดอกเบี้ย 6 เปอร์เซนต์ต่อปี   โดยให้กลับมาใช้สินเชื่อจากกองทุน พอช. ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี   เพราะกองทุนของ พอช. ยังพอมีเงินเหลืออยู่และเมื่อนำมารวมกับเงินผ่อนชำระเฉลี่ยเดือนละ 15 ล้านบาทของชุมชนที่กู้ไปก่อนหน้านี้    จึงทำให้ในระหว่างนี้ พอช. ยังมีศักยภาพที่จะปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีได้
          สอง   ให้มีนโยบายเพิ่มงบประมาณด้านสินเชื่อแก่กองทุน พอช. อีก 5,000 ล้านบาท   โดยเสนอของบจากรัฐบาลปีละ 1,000 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี    เพื่อให้ พอช. มีเงินทุนหมุนเวียนที่จะปล่อยเงินกู้แก่ชุมชนที่อยู่เป้าหมายโครงการบ้านมั่นคงแต่ยังไม่ได้ทำโครงการอีกกว่า 200,000 ครอบครัวในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 เปอร์เซนต์   นอกจากนี้เงินที่รัฐบาลอนุมัติเพิ่มปีละ 1,000 ล้านบาทนั้น   ยังถือเป็นงบที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง   เพราะเป็นเงินที่ชุมชนกู้ไปใช้ซื้อที่ดินหรือสร้างบ้านซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มเม็ดเงินให้กับวงการธุรกิจก่อสร้าง
          สาม   ให้มีนโยบายให้ พอช. ปฏิรูปการทำงานขององค์กรให้มีธรรมมาภิบาลขึ้น   และเปิดการมีส่วนร่วมให้กับเครือข่ายภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า   ไม่ใช่เน้นเฉพาะการทำงานกับแกนนำและชาวบ้านที่อยู่ภายใต้กลไกการจัดตั้งของ พอช.    โดยการปฏิรูปควรจะเริ่มต้นจากการเริ่มกระบวนการสรรหาคณะกรรมการบริหารกันใหม่    ไม่ใช่ยอมรับบอร์ดชุดล่าสุดที่ภาคประชาสังคมกำลังตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของกระบวนการคัดสรร

          ห้วงเวลานี้จึงถือเป็นเวลาที่เหมาะสม   ที่จะยกเครื่องสถาบันอันมีรากฐานการก่อเกิดมาจากแรงขับเคลื่อนของภาคประชาสังคม    ทั้งนี้เพื่อให้ พอช. เป็นองค์กรที่มีบุคลิก  เปิดเผย  โปร่งใส  ยอมรับความเห็นต่าง   และเคารพต่อการมีส่วนร่วมของเครือข่ายประชาชนในการกำหนดนโยบายองค์กร   ไม่ใช่ปล่อยให้ พอช. เดินหนีห่างจากปรัชญาและวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของตนเหมือนอย่างทุกวันนี้.

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม

  ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลาขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค “ที่ดิน” ทรัพยากรอันมีจำก...