บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่ทิศทางรัฐสวัสดิการ
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนคนจนเตรียมจะออก
“บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่มาจากการหาแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียน
ปี ๒๕๖๐ ที่เริ่มจะเห็นความชัดเจนแล้วว่าสำหรับผู้มีสิทธิ์ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
จะได้สวัสดิการอะไรบ้าง ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนราว
๑๔ ล้านใบ ใช้งบประมาณ ๑,๕๘๑ ล้านบาท
จากยอดผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ๑๔.๑๒ ล้านคน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้บัตรนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐
นี้ ล่าสุด
กรมบัญชีกลางได้เสนอกระทรวงการคลัง กรณีเงินสวัสดิการที่จะให้ประชาชน
หลังจากได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ว่าสวัสดิการต่อคนต่อเดือนไม่เกิน
๒,๘๕๐ บาท โดยแบ่งเป็น
-
ค่ารถเมล์ไม่เกิน
๖๐๐ บาท
-
ค่าโดยสารรถไฟ
๑,๐๐๐ บาท
-
ค่ารถโดยสารบริษัทขนส่งจำกัด
(บขส.) ๘๐๐ บาท
-
ค่าไฟฟ้า
๒๐๐ บาท
-
ค่าน้ำประปา
๑๕๐ บาท
-
ค่าสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ
๑๐๐ บาท
ซึ่งเดิมการอุดหนุนค่าโดยสายรถเมล์
และ รถไฟ นั้นเป็นลักษณะที่ทุกคนได้รับสวัสดิการทั้งหมด แต่มีการจัดรถพิเศษ ขบวนพิเศษ
สำหรับการจัดสวัสดิการ และสามารถใช้บริการได้ตลอดไม่จำกัดครั้ง
หากแต่เป็นลักษณะใหม่นี้ดูเหมือนเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการจะสามารถถือบัตรแล้วสามารถเอาไปเป็นส่วนลดในทุกการเดินทางที่เป็นของรัฐข้างต้นได้ และ “จำกัดจำนวนในการรับสวัสดิการ” ตามจำนวนเงินที่รัฐอุดหนุนไป
แต่ก่อนที่จะมีการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้คนจนได้มีสวัสดิการช่วยเหลือตามข้อมูลข้างต้นทางรัฐบาลเองก็ได้จัดส่งทีมงานลงเช็คข้อมูลข้อเท็จจริงถึงพื้นที่กันเลยทีเดียว
ประกอบกับการเช็คข้อมูลด้านการมีทรัพย์สินอย่างละเอียดกว่าคราวแจกเงิน
๑,๕๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท อย่างชัดเจน
ซึ่งคราวก่อนนั้นไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเช่นครั้งนี้
ซึ่งปัจจุบันผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ไม่เข้าเกณฑ์มีอยู่ราว ๒ ล้านคนแล้ว
อีกทั้งยังมีข้อสังเกตถึงผู้มาลงทะเบียนมีจำนวนราว ๖๐๐ คน ที่จบปริญญาเอก
และอีกราว ๖,๐๐๐ คน ที่จบปริญญาโท ยังเข้าร่วมลงทะเบียนคนจนครั้งนี้ด้วย
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมอย่างกว้างขวาง
ประเด็นนี้อีกทางผู้เขียนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกใจแต่อย่างใดที่กลุ่มคนดังกล่าวที่จะมาลงทะเบียนคนจนร่วมกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ เพราะการศึกษาไทยไม่ได้การันตีในเรื่องการงาน
อาชีพ แต่อย่างใด
อย่าลืมว่าเกณฑ์ที่ให้มาลงทะเบียนคนจนมิได้กำหนดในเรื่องวุฒิการศึกษาแต่อย่างใด
อีกทั้งทีมที่ลงมาสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริงส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มคนที่เพิ่งจบปริญญาตรีแต่ยังไม่มีงานทำนั้นเอง
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค
เป็นขบวนประชาชนที่ต่อสู้ด้านสิทธิที่อยู่อาศัย และสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
โดยมีสมาชิกเป็นคนจนในเมืองที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด หรือ “สลัม”
และกลุ่มคนที่อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะ หรือ “คนไร้บ้าน” กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐอันนี้
แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้กลับแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากบัตรนี้เลยเพราะติดเงื่อนไขต่างๆที่รัฐยังไม่เคยลงมาเห็นข้อเท็จจริง
สาเหตุทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียนคนจนครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนที่ไม่ชัดเจนกับเกณฑ์ที่จะสามารถรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้
หลายชุมชนมีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย โดยการระดมเงินกับสมาชิกแล้วฝากเงินในบัญชีชุมชน
และกลุ่มคนที่ไปเปิดบัญชีนี่เองกลัวที่จะไปลงทะเบียนคนจน เพราะมีบัญชีเงินฝากเกินแสนบาท
อย่างที่สองเกณฑ์การลงทะเบียนคนจนเน้นดูจากจากทรัพย์สินเป็นหลัก
คือบัญชีเงินฝาก หากเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ คนสลัมส่วนใหญ่มีการออมเงินตนเองเพื่อเป็นการวางรากฐานสู่อนาคตส่วนใหญ่จะมีเงินฝากกันเกินแสนบาท
แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะขนาดหลายแสนบาท
เพื่อเป็นเงินใช้ยามจำเป็น (ซึ่งหลายครอบครัวจะทำกัน) แต่รายละเอียดหนี้สินที่ให้เปิดเผยในใบลงทะเบียนนั้นไม่ได้นำเอามาคิดในเกณฑ์นี้ด้วย
อีกทั้งรายได้การทำงานในกลางเมืองอาจจะดูตัวเลขการรับเงินนั้นสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดให้ว่ารายได้ไม่เกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี หรือราว ๘,๔๐๐ บาทต่อเดือน คนที่มีเงินเดือน
หรือรายได้ต่อเดือนสูงกว่านั้นถือว่าไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อย
ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนที่มีรายได้ต่อเดือน ๘,๕๐๐ – ๑๕,๐๐๐ บาท
จะกลายเป็นผู้มีรายได้ปานกลางไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการแห่งรัฐครั้งนี้
และหากเป็นกลุ่มคนที่หลับนอนตามที่สาธารณะ
หรือคนไร้บ้านนั้น
เริ่มตั้งแต่ที่จะต้องมีการเปิดบัญชีเงินฝากที่ต้องมีเงินขั้นต่ำ ๕๐๐ บาท (ส่วนนี้ไม่ได้ออกสื่อ แต่ผู้ไปลงทะเบียนจะรู้ทุกคนธนาคารจะให้เปิดบัญชี)
หากรู้จักคนไร้บ้านแล้วเงินจำนวนดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไร้บ้านจะมีเงินติดตัว
อีกทั้งการแก้ปัญหาบัตรประชาชนของคนไร้บ้านเองยังไม่สามารถจะจัดการได้ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถูกตัดออกไปเป็นคนรวย(จำเป็น)
ไปโดยปริยาย
อีกทั้งหากสมาชิกไปลงแล้วสามารถผ่านเกณฑ์คนจนมาได้นั้น
สิทธิประโยชน์ข้างต้นที่ขึ้นไว้
แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
เนื่องจากไฟฟ้า – ประปา ของชุมชนนั้นหากยังไม่มีความมั่นคงในที่ดินการใช้ไฟฟ้า
– ประปา ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อพ่วงมาจากเอกชนข้างเคียงบ้าง ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นที่อ้างอิงการใช้ไฟฟ้า –
ประปาได้
กลับมายังประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมีกลุ่มคนที่จบระดับ
ปริญญาเอก และ ปริญญาโท มาร่วมลงทะเบียนครั้งนี้
สาเหตุเนื่องจากเกณฑ์การลงทะเบียนเอื้อต่อกลุ่มคนเหล่านั้นจริงๆ
เพราะหากจะดูเกณฑ์กันอีกครั้งคือ
-
เป็นผู้ว่างงาน
หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ในปี 2559
-
ไม่มีทรัพย์สินทางการเงิน
ได้แก่ เงินฝากธนาคาร, สลากออมสิน,
สลาก ธ.ก.ส., พันธบัตรรัฐบาล
และตราสารหนี้ หรือถ้ามีทรัพย์สินทางการเงินดังกล่าว
จะต้องมีจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 100,000
บาท ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในปี 2559
-
ไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย
หรือถ้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
บ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ต้องมีพื้นที่ ไม่เกิน 25
ตารางวา ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน
35 ตารางเมตร
-
มีที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่การเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน
1 ไร่
ทั้งนี้รายได้
หมายถึงรายได้ของบุคคลที่ลงทะเบียนเท่านั้น ในกรณีประกอบอาชีพร่วมกันทั้งครัวเรือน
และไม่สามารถแยกรายได้ออกมาเป็นรายบุคคลได้ ให้ถือว่า
รายได้ของครัวเรือนเป็นรายได้ของหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงคนเดียว
หากอ่านดูดีๆ
คนที่เพิ่งจบการศึกษายังไม่มีงานทำ
ยังต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ รวมถึงการเป็นลูกเศรษฐี แต่ไม่มีเงินฝากในบัญชี ล้วนแล้วแต่เข้าเกณฑ์เหล่านี้ทั้งนั้น
ตรงข้ามกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษาแต่ทำมาหากินได้รายได้มากกว่าที่กล่าวข้างต้นจะกลายเป็นคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐนี้ไปทันที
นี้คือช่องว่างเกณฑ์การเข้าช่วยเหลือโดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ยังไม่นับรวมถึงถ้าหากปีถัดไป หรือระหว่างการตรวจเช็คคุณสมบัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนของกลุ่มคนที่ลงทะเบียน มีฐานะดีขึ้น
มีงานทำที่ดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น
จะเป็นเช่นไร
และกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์กลับมีฐานะจนลง
ตกงาน
จะยังมีสิทธิ์ที่จะได้สวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ แล้วกระบวนการจะต้องเริ่มใหม่หรือเปล่า แล้วปัญหาข้างต้นจะแก้ไขเช่นไร ยังคงมีคำถามอีกมากที่ประชาชนอยากจะรู้
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค
เล็งเห็นว่าการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่รัฐสวสัดิการควรจะจัดสรรแบบทั่วถึงเท่าเทียมเป็นพื้นฐานของประชาชนคนไทย และขอปรามแนวความคิดที่จะทำต่อถึงการนำเอาสวัสดิการพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันเอาไปเข้าอยู่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี
หรืออื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เพราะนั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำไมชนชั้นกลางถึงได้มาลงทะเบียนคนจนกันเยอะ
อาจจะเป็นเพราะเกรงว่าสวัสดิการที่มีอยู่ในปัจจุบันจะถูกจัดสรรให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนคนจนเท่านั้น
สังคมจะได้ไม่ตื่นตระหนก
หรือแปลกใจกับการมาลงทะเบียนคนจนของผู้จบปริญญาเอก หรือปริญญาโท แต่ควรจะตั้งคำถามถึงว่าคนที่อยู่ในสลัม
คนไร้บ้านนอนตามที่สาธารณะ คนเหล่านี้ได้สวัสดิการจากรัฐหรือไม่
รวมถึงสวัสดิการหลักที่ประชาชนได้รับอยู่แล้วจะหายไปในอนาคตหรือไม่? การช่วยเหลือคนจนโดยนโยบายประชา(นิยม)รัฐเป็นเรื่องที่ต้องทำ
แต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนเรื่องรัฐสวัสดิการเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมองต่อ
เพราะเป็นรากฐานระยะยาว
ดังนั้นกรอบการช่วยเหลือโดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ไม่ควรเป็นแนวทางไปสู่รัฐสวัสดิการ
เครือข่ายสลัม ๔ ภาคเห็นว่า รัฐสวัสดิการควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนจะต้องได้รับอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ทุกชนชั้น !!!