วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่ทิศทางรัฐสวัสดิการ

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  ไม่ใช่ทิศทางรัฐสวัสดิการ

คมสันติ์  จันทร์อ่อน  กองเลขาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนคนจนเตรียมจะออก “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่มาจากการหาแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียน ปี ๒๕๖๐ ที่เริ่มจะเห็นความชัดเจนแล้วว่าสำหรับผู้มีสิทธิ์ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้สวัสดิการอะไรบ้าง  ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนราว ๑๔ ล้านใบ ใช้งบประมาณ ๑,๕๘๑ ล้านบาท จากยอดผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ๑๔.๑๒ ล้านคน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้บัตรนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ นี้  ล่าสุด กรมบัญชีกลางได้เสนอกระทรวงการคลัง กรณีเงินสวัสดิการที่จะให้ประชาชน หลังจากได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ว่าสวัสดิการต่อคนต่อเดือนไม่เกิน ๒,๘๕๐ บาท โดยแบ่งเป็น
-          ค่ารถเมล์ไม่เกิน ๖๐๐ บาท
-          ค่าโดยสารรถไฟ ๑,๐๐๐ บาท
-          ค่ารถโดยสารบริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) ๘๐๐ บาท
-          ค่าไฟฟ้า ๒๐๐ บาท
-          ค่าน้ำประปา ๑๕๐ บาท
-          ค่าสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ๑๐๐ บาท
( ข้อมูลจาก https://www.thairath.co.th/content/1015992 )


ซึ่งเดิมการอุดหนุนค่าโดยสายรถเมล์ และ รถไฟ นั้นเป็นลักษณะที่ทุกคนได้รับสวัสดิการทั้งหมด  แต่มีการจัดรถพิเศษ ขบวนพิเศษ สำหรับการจัดสวัสดิการ และสามารถใช้บริการได้ตลอดไม่จำกัดครั้ง  หากแต่เป็นลักษณะใหม่นี้ดูเหมือนเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการจะสามารถถือบัตรแล้วสามารถเอาไปเป็นส่วนลดในทุกการเดินทางที่เป็นของรัฐข้างต้นได้  และ “จำกัดจำนวนในการรับสวัสดิการ” ตามจำนวนเงินที่รัฐอุดหนุนไป
แต่ก่อนที่จะมีการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้คนจนได้มีสวัสดิการช่วยเหลือตามข้อมูลข้างต้นทางรัฐบาลเองก็ได้จัดส่งทีมงานลงเช็คข้อมูลข้อเท็จจริงถึงพื้นที่กันเลยทีเดียว  ประกอบกับการเช็คข้อมูลด้านการมีทรัพย์สินอย่างละเอียดกว่าคราวแจกเงิน ๑,๕๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท อย่างชัดเจน ซึ่งคราวก่อนนั้นไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเช่นครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ไม่เข้าเกณฑ์มีอยู่ราว ๒ ล้านคนแล้ว  อีกทั้งยังมีข้อสังเกตถึงผู้มาลงทะเบียนมีจำนวนราว ๖๐๐ คน ที่จบปริญญาเอก และอีกราว ๖,๐๐๐ คน ที่จบปริญญาโท ยังเข้าร่วมลงทะเบียนคนจนครั้งนี้ด้วย  กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมอย่างกว้างขวาง
ประเด็นนี้อีกทางผู้เขียนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกใจแต่อย่างใดที่กลุ่มคนดังกล่าวที่จะมาลงทะเบียนคนจนร่วมกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ  เพราะการศึกษาไทยไม่ได้การันตีในเรื่องการงาน อาชีพ แต่อย่างใด   อย่าลืมว่าเกณฑ์ที่ให้มาลงทะเบียนคนจนมิได้กำหนดในเรื่องวุฒิการศึกษาแต่อย่างใด  อีกทั้งทีมที่ลงมาสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริงส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มคนที่เพิ่งจบปริญญาตรีแต่ยังไม่มีงานทำนั้นเอง
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค เป็นขบวนประชาชนที่ต่อสู้ด้านสิทธิที่อยู่อาศัย และสร้างความเป็นธรรมทางสังคม โดยมีสมาชิกเป็นคนจนในเมืองที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด หรือ “สลัม” และกลุ่มคนที่อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะ หรือ “คนไร้บ้าน” กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐอันนี้  แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้กลับแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากบัตรนี้เลยเพราะติดเงื่อนไขต่างๆที่รัฐยังไม่เคยลงมาเห็นข้อเท็จจริง
สาเหตุทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียนคนจนครั้งนี้  เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนที่ไม่ชัดเจนกับเกณฑ์ที่จะสามารถรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้ หลายชุมชนมีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย  โดยการระดมเงินกับสมาชิกแล้วฝากเงินในบัญชีชุมชน และกลุ่มคนที่ไปเปิดบัญชีนี่เองกลัวที่จะไปลงทะเบียนคนจน เพราะมีบัญชีเงินฝากเกินแสนบาท
อย่างที่สองเกณฑ์การลงทะเบียนคนจนเน้นดูจากจากทรัพย์สินเป็นหลัก คือบัญชีเงินฝาก  หากเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ คนสลัมส่วนใหญ่มีการออมเงินตนเองเพื่อเป็นการวางรากฐานสู่อนาคตส่วนใหญ่จะมีเงินฝากกันเกินแสนบาท แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะขนาดหลายแสนบาท  เพื่อเป็นเงินใช้ยามจำเป็น (ซึ่งหลายครอบครัวจะทำกัน) แต่รายละเอียดหนี้สินที่ให้เปิดเผยในใบลงทะเบียนนั้นไม่ได้นำเอามาคิดในเกณฑ์นี้ด้วย อีกทั้งรายได้การทำงานในกลางเมืองอาจจะดูตัวเลขการรับเงินนั้นสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดให้ว่ารายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี หรือราว ๘,๔๐๐ บาทต่อเดือน คนที่มีเงินเดือน หรือรายได้ต่อเดือนสูงกว่านั้นถือว่าไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อย ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนที่มีรายได้ต่อเดือน ๘,๕๐๐ – ๑๕,๐๐๐ บาท จะกลายเป็นผู้มีรายได้ปานกลางไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการแห่งรัฐครั้งนี้

และหากเป็นกลุ่มคนที่หลับนอนตามที่สาธารณะ หรือคนไร้บ้านนั้น เริ่มตั้งแต่ที่จะต้องมีการเปิดบัญชีเงินฝากที่ต้องมีเงินขั้นต่ำ ๕๐๐ บาท (ส่วนนี้ไม่ได้ออกสื่อ  แต่ผู้ไปลงทะเบียนจะรู้ทุกคนธนาคารจะให้เปิดบัญชี) หากรู้จักคนไร้บ้านแล้วเงินจำนวนดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไร้บ้านจะมีเงินติดตัว   อีกทั้งการแก้ปัญหาบัตรประชาชนของคนไร้บ้านเองยังไม่สามารถจะจัดการได้  ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถูกตัดออกไปเป็นคนรวย(จำเป็น) ไปโดยปริยาย
อีกทั้งหากสมาชิกไปลงแล้วสามารถผ่านเกณฑ์คนจนมาได้นั้น สิทธิประโยชน์ข้างต้นที่ขึ้นไว้  แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย  เนื่องจากไฟฟ้า – ประปา ของชุมชนนั้นหากยังไม่มีความมั่นคงในที่ดินการใช้ไฟฟ้า – ประปา ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อพ่วงมาจากเอกชนข้างเคียงบ้าง  ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นที่อ้างอิงการใช้ไฟฟ้า – ประปาได้
กลับมายังประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมีกลุ่มคนที่จบระดับ ปริญญาเอก และ ปริญญาโท มาร่วมลงทะเบียนครั้งนี้  สาเหตุเนื่องจากเกณฑ์การลงทะเบียนเอื้อต่อกลุ่มคนเหล่านั้นจริงๆ เพราะหากจะดูเกณฑ์กันอีกครั้งคือ
-          เป็นผู้ว่างงาน หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ในปี 2559
-          ไม่มีทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝากธนาคาร, สลากออมสิน, สลาก ธ.ก.ส., พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ หรือถ้ามีทรัพย์สินทางการเงินดังกล่าว จะต้องมีจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 100,000 บาท ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในปี 2559
-          ไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย หรือถ้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ บ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ต้องมีพื้นที่ ไม่เกิน 25 ตารางวา ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร
-          มีที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่การเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่

ทั้งนี้รายได้ หมายถึงรายได้ของบุคคลที่ลงทะเบียนเท่านั้น ในกรณีประกอบอาชีพร่วมกันทั้งครัวเรือน และไม่สามารถแยกรายได้ออกมาเป็นรายบุคคลได้ ให้ถือว่า รายได้ของครัวเรือนเป็นรายได้ของหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงคนเดียว
หากอ่านดูดีๆ คนที่เพิ่งจบการศึกษายังไม่มีงานทำ  ยังต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ รวมถึงการเป็นลูกเศรษฐี แต่ไม่มีเงินฝากในบัญชี  ล้วนแล้วแต่เข้าเกณฑ์เหล่านี้ทั้งนั้น  ตรงข้ามกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษาแต่ทำมาหากินได้รายได้มากกว่าที่กล่าวข้างต้นจะกลายเป็นคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐนี้ไปทันที  นี้คือช่องว่างเกณฑ์การเข้าช่วยเหลือโดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน  ยังไม่นับรวมถึงถ้าหากปีถัดไป  หรือระหว่างการตรวจเช็คคุณสมบัติ  เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนของกลุ่มคนที่ลงทะเบียน  มีฐานะดีขึ้น  มีงานทำที่ดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น  จะเป็นเช่นไร  และกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์กลับมีฐานะจนลง  ตกงาน  จะยังมีสิทธิ์ที่จะได้สวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่  แล้วกระบวนการจะต้องเริ่มใหม่หรือเปล่า  แล้วปัญหาข้างต้นจะแก้ไขเช่นไร   ยังคงมีคำถามอีกมากที่ประชาชนอยากจะรู้
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค เล็งเห็นว่าการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่รัฐสวสัดิการควรจะจัดสรรแบบทั่วถึงเท่าเทียมเป็นพื้นฐานของประชาชนคนไทย  และขอปรามแนวความคิดที่จะทำต่อถึงการนำเอาสวัสดิการพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันเอาไปเข้าอยู่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี หรืออื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน  เพราะนั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำไมชนชั้นกลางถึงได้มาลงทะเบียนคนจนกันเยอะ  อาจจะเป็นเพราะเกรงว่าสวัสดิการที่มีอยู่ในปัจจุบันจะถูกจัดสรรให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนคนจนเท่านั้น
สังคมจะได้ไม่ตื่นตระหนก หรือแปลกใจกับการมาลงทะเบียนคนจนของผู้จบปริญญาเอก หรือปริญญาโท  แต่ควรจะตั้งคำถามถึงว่าคนที่อยู่ในสลัม คนไร้บ้านนอนตามที่สาธารณะ คนเหล่านี้ได้สวัสดิการจากรัฐหรือไม่   รวมถึงสวัสดิการหลักที่ประชาชนได้รับอยู่แล้วจะหายไปในอนาคตหรือไม่?  การช่วยเหลือคนจนโดยนโยบายประชา(นิยม)รัฐเป็นเรื่องที่ต้องทำ  แต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนเรื่องรัฐสวัสดิการเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมองต่อ เพราะเป็นรากฐานระยะยาว  ดังนั้นกรอบการช่วยเหลือโดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ควรเป็นแนวทางไปสู่รัฐสวัสดิการ  เครือข่ายสลัม ๔ ภาคเห็นว่า รัฐสวัสดิการควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนจะต้องได้รับอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทุกชนชั้น !!!


นโยบายไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ นโยบายที่ไร้ประโยชน์สำหรับประชาชน


นโยบายไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ นโยบายที่ไร้ประโยชน์สำหรับประชาชน


อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่อยู่อาศัยโลกที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเอาไว้ว่า วันจันทร์แรก ของเดือนตุลาคม ของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก   เพื่อให้ประชาคมโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อสิทธิที่อยู่อาศัย  ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมวลมนุษยชาติ   แต่กลับเกิดการขาดแคลน , ไม่มั่นคง , แย่งชิง ที่ดินที่อยู่อาศัยในทั่วทุกประเทศ  ที่ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย   ซึ่งปีนี้วันที่อยู่อาศัยโลกจะตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560
เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้จัดงานรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกขึ้นทุกปี  โดยการรณรงค์แต่ละครั้งจะมีสมาชิกของเครือข่ายสลัม 4 ภาค เข้าร่วมหลายพันคนเพื่อจะยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล  และผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ   ลักษณะการรณรงค์จะเป็นการเดินรณรงค์บนท้องถนน  แต่เนื่องจากในปีนี้ช่วงเดือนตุลาคม  ประเทศไทยจะมีพระราชพิธีสำคัญ   เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงงดการจัดรณรงค์ลักษณะดังกล่าวเพื่อร่วมการไว้อาลัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ราชกาลที่ 9  มาจัดกิจกรรมแถลงข่าวรายงานสถานการณ์ความเดือดร้อนในด้านสิทธิที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่ชุมชนแทน ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560


(ภาพการเดินรณรงค์วันที่อยู่อาศัยโลก ของเครือข่ายสลัม 4 ภาค)

แต่กระนั้นสถานกาณ์ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยที่ไม่มั่นคงยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง   นโยบายการพัฒนาด้านต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย ที่ทำกินของคนจนยังคงมีมา  แต่ตรงข้ามในด้านการช่วยเหลือเยียวยา  การแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้น ระยะยาว  รัฐบาลชุดนี้กลับไม่มีทีท่าแข็งขัน    จากข้อมูลการสำรวจชุมชนแออัดประเทศไทยมีชุมชนแออัดทั่วประเทศ ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องการมหาชน) ในปี พ.ศ. 2556 ชุมชนแออัด มีจำนวน 6,334 ชุมชน ประชากรรวม 1,630,477 ครัวเรือน  โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่ไม่มั่นคงในที่ดินที่อยู่อาศัยจำนวน 728,639 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 44.69 ของจำนวนทั้งหมด
รัฐบาลได้ออกนโยบายเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในแต่ละนโยบายหากดูโดยลึกแล้วไม่ใช่การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเอื้ออาทร หรือ โครงการที่สร้างที่อยู่อาศัยโดยรัฐ แล้วเปิดให้ประชาชนมาจอง ผ่อนซื้อ ในราคาที่ถูกผ่อนระยะยาว เอาเข้าจริงจำนวนหน่วยที่ขายออกเยอะ ทำเลดีๆ ส่วนใหญ่แล้วมาจากกลุ่มเก็งกำไรจากอสังหาริมทรัพย์  ได้ใบจองกับไปหมดแล้วไปปล่อยขาย  หรือซื้อไว้เพื่อเปิดเป็นห้องเช่าเพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งของกลุ่มคนเหล่านั้น  ส่วนคนจนไม่สามารถจะเข้าถึงได้จริงเพราะติดปัญหาทั้งในด้านรายได้ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน  ไม่มีเครดิตดีพอที่จะผ่านสินเชื่อในการซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการได้
ส่วนโครงการบ้านมั่นคง ที่มีลักษณะดำเนินการที่เกือบจะลงตัวในด้านการบริหารจัดการ  การเข้าถึงสินเชื่อ  เพราะใช้กลุ่มออมทรัพย์ในการสร้างเครดิตให้กับชุมชนเองได้  แต่ปัญหาที่เกิดคือ “ที่ดิน” โครงการบ้านมั่นคงสนับสนุนในด้านงบประมาณเป็นหลัก  แต่ไม่มีที่ดินให้มาด้วยดังนั้นการหาที่ดินจึงเป็นภาระของชาวบ้านจะต้องไปหาเอง  “หากจะซื้อที่ดินในเมืองราคาก็แสนแพง  หากจะขอใช้ที่ดินรัฐก็แสนหวง” การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยจึงไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน  วนในอ่างไม่คืบหน้าอย่างชัดเจน
นี่คือตัวอย่างข้างต้นในการคิดนโยบายเพื่อจะแก้ปัญหาแต่ไม่ถูกจุด  ส่งผลให้ผู้ที่ควรจะได้รับประโยชน์ไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย  หากแต่ปัญหาของคนจนเมืองไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องที่อยู่อาศัย  ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวันนั้น   รัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายการช่วยเหลือคนจนรากหญ้า  มาตรการ “ลงทะเบียนคนจน” อีกหนึ่งนโยบายที่พยายามจะมาแก้ปัญหาปากท้องช่วยเหลือคนจนรากหญ้า  แต่กลับกลายเป็นนโยบายที่ดำเนินงานแล้วกลุ่มเป้าหมายไม่สามารถเข้าถึงได้จริง  ดังเช่นที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้เคยกล่าวไว้ใน (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่รัฐสวัสดิการ https://www.citizenthaipbs.net/node/21390)
สิ่งที่กังวลไว้กลับเป็นจริงขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ลงทะเบียนคนจน  จากเกณฑ์คุณสมบัติที่หละหลวมส่งผลให้คนจนหลายส่วนไม่ได้เป็น “คนจน” ตามข้อเท็จจริงได้ ทีมกองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ตรวจสอบข้อมูลกลุ่มคนที่ไปลงทะเบียนคนจนว่ามีท่านใดบ้างที่ผ่าน , ท่านใดบ้างที่ไม่ผ่าน หรือท่านใดบ้างที่ไม่ได้ลงทะเบียน  ปรากฏข้อมูลไม่เป็นทางการคือ
ลุงดำ นายกสมาคมคนไร้บ้าน มีอาชีพเก็บของเก่าเป็นวันๆไป  อาศัยอยู่ศูนย์พักคนไร้บ้านชั่วคราวตลิ่งชัน ได้ลงทะเบียนคนจนที่สำนักงานเขตตลิ่งชัน หลังจากได้กำหนดตรวจสอบการลงทะเบียนว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่  ปรากฏว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ด้วยสาเหตุมีเงินในบัญชีเกิน 100,000 บาท ซึ่งบัญชีเงินฝากที่มีชื่อลุงดำนั้น เป็นบัญชีส่วนกลางของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่ได้รับความไว้วางใจเป็นผู้แทน 1 ใน 3 คน ไปเปิดบัญชี  ซึ่งกรณีแบบลุงดำ เป็นหนึ่งในหลายคนที่ประสบ  เพราะเนื่องจากการรวมกลุ่มชุมชนโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการออมทรัพย์กองทุนต่างๆ  เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย  แก้ปัญหาปากท้อง  สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน  ทำให้ต้องมีการเปิดบัญชีชุมชน  และต้องมีผู้แทนชุมชน ผู้แทนกลุ่ม ไปเปิดบัญชีชุมชน 3 – 5 คน ต่อบัญชี หากชุมชนไหนมีหลายกองทุน ก็จะต้องเปิดหลายบัญชี  คนจนเหล่านี้ที่เสียสละให้ชุมชนกลับได้รับรางวัลจากรัฐบาลด้วยการตัดสิทธิ์ความเป็นคนจนไป


การตรวจสอบสิทธิ์การลงทะเบียนคนจน ผ่านเวปไซค์ ของนายสุชิน  เอี่ยมอินทร์ (นายกสมาคมคนไร้บ้าน)

ถึงแม้จะมีช่องให้ยื่นอุทธรณ์  แต่ก็ไม่ได้บอกกระบวนการการตรวจสอบอุทธรณ์ว่ากระบวนการเป็นเช่นไร   หากเป็นกระบวนการกดคอมพิวเตอร์ตามเดิม ข้อมูลของธนาคารก็ยังคงแสดงให้เห็นชัดว่า ลุงดำ มีบัชีเงินฝากเกิน 100,000 บาท จริง  และผลต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น ??? เพราะเนื่องจากการอุทธรณ์ ได้มีคำเตือนแกมขู่เอาไว้  หากให้ข้อมูลเป็นเท็จจะสามารถนำไปดำเนินคดีได้   หากลุงดำ อุทธรณ์ว่าเขาไม่มีเงินในบัญชีถึงแสนบาท  แต่หน่วยงานเช็คทางคอมพิวเตอร์แล้วเกินแสนบาท  ลุงดำ จะต้องถูกดำเนินคดีหรือไม่  นี่คืออีกหนึ่งอย่างที่ประชาชนกังวลที่จะต้องมาอุทธรณ์  เพราะกระบวนการอุทธรณ์ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ว่าเป็นเช่นไร  หากเรียกสัมภาษณ์รายคน  จะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่เพราะจำนวนคนที่ตกหล่นราว 3 ล้านคน มีกรณีเช่นลุงดำจำนวนเท่าไหร่

ภาพการแสดงทางเวปไซค์ที่ให้ประชาชนยื่นอุทธรณ์การลงทะเบียนคนจนไม่ผ่านเกณฑ์

ส่วนคนไร้บ้าน  ที่อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะ บางคนที่มีบัตรประชาชนแต่ไม่ได้ลงทะเบียน  โดยส่วนใหญ่บอกว่าไม่รู้จะไปยังไง บ้างบอกว่ารู้อีกทีก็หมดเขตการลงทะเบียนแล้ว  เพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ได้เข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้อย่างทั่วถึง  ส่วนคนไร้บ้าน ที่พักอาศัยตามศูนย์ต่างๆของเครือข่ายคนไร้บ้านส่วนใหญ่จะลงทะเบียนกัน  แต่หากใครเป็นผู้รับหน้าที่แบบ ลุงดำ ข้างต้น ก็จะถูกคัดออกเช่นเดียวกัน
แต่ที่น่าเศร้าที่สุด  ที่ไม่ได้เขียนไว้ในคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนคือ  จะต้องมีเงินเปิดบัญชีธนาคาร (ซึ่งขั้นต่ำที่ธนาคารรับเปิดบัญชีคือ 500 บาท) คนจนที่ไม่มีแม้กระทั่งเงินเปิดบัญชีก็จะถูกคัดออกจากความเป็นคนจนด้วยเช่นกัน  นี่เป็นอีกปรากฎการณ์ในการคิดนโยบายมาแต่ไม่คิดให้รอบด้านว่าประเทศไทยนั้นมีคนจนประเภทใดบ้าง  และกลุ่มคนเหล่านั้นมีข้อจำกัดการเข้าถึงสวัสดิการที่รัฐจะจัดได้หรือไม่


ขั้นตอนการอุทธรณ์

และหลังจากที่รัฐได้เริ่มแจกบัตร  พร้อมทั้งความชัดเจนถึงสวัสดิการภายในบัตรจะสามารถช่วยลดค่าครองชีพด้านใดได้บ้าง  ก็เกิดคำถามขึ้นมากมายในการใช้บัตร  ซึ่งมีความแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างคนจนต่างจังหวด  กับคนจนในกทม.และจังหวัดใกล้เคียง 7 จังหวัด  จะได้สิทธิการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ต่างกันออกไป คือ ผู้ที่ลงทะเบียนที่ไม่ได้อยู่ใน 7 จังหวัด ดังกล่าวไม่สามารถนำบัตรมาใช้ขึ้นรถไฟฟ้า , รถเมล์ ขสมก. ได้  เพราะบัตรถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนมีภูมิลำเนาใน 7 จังหวัด  แต่ผู้ที่คิดค้นเกณฑ์การแบ่งแยกไม่แน่ใจว่าเข้าใจถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานในประเทศไทยในปัจจุบันหรือไม่   ระบบคมนาคมที่ได้รับการพัฒนาที่ทำให้ประชาชนสามารถเคลื่อนย้ายภายในประเทศได้อย่างสะดวก  และกลุ่มประชากรแฝงที่อาศัยอยู่ใน 7 จังหวัดนั้น ก็มีจำนวนมากที่เป็นทั้งแรงงานในระบบ และนอกระบบ  ถึงแม้รัฐบอกว่าสามารถแจ้งเปลี่ยนที่อยู่อาศัยเพื่อมาขอรับบัตรใหม่ได้  ค่าใช้จ่ายที่จะทำบัตรใหม่ภาระตกอยู่ที่ใคร ประชาชนต้องควักจ่ายสดเอง หรือ รัฐรับทำให้โดยใช้ภาษีจ้างบริษัททำใหม่  สุดท้ายก็คือประชาชน  ระยะเวลาที่กว่าจะได้บัตรใหม่  ช่วงเวลาที่ทำให้คนกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถใช้สิทธิได้เหมือนคน 7 จังหวัด ส่วนนี้จัดการความรับผิดชอบอย่างไร  ยังไม่มีความชัดเจนในการรองรับการแก้ปัญหาดังกล่าว
สิทธิต่อมาคือการลดค่าครองชีพการซื้อของจับจ่ายอุปโภค บริโภค ต่างๆ (ยกเว้น เหล้า บุหรี่) ซึ่งแบ่งให้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี กับกลุ่มที่มีรายได้เกินกว่านั้น จะมีวงเงินต่อเดือน 300 บาท และ 200 บาท ตามลำดับกลุ่มต่อเดือน หรือ 3,600 บาท และ 2,400 บาท ต่อปี  ถึงแม้นจะเป็นเงินไม่เยอะแต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระในครอบครัวได้ระดับหนึ่ง   แต่ติดปัญหาอุปสรรคคือร้านค้าที่ประชาชนจะสามารถไปจับจ่าย ซื้อของนั้น  ต้องเป็นร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น  อยู่ที่ไหน ??? จะรู้ได้อย่างไร ??? เพียงพอทั่วถึงหรือไม่ ???

รายการให้ความช่วยเหลือจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

จากที่ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการรับสมัครร้านค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วย) เพื่อเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐจำหน่ายสินค้าธงฟ้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  มีร้านค้าทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการแล้ว 4,506 แห่ง และคาดว่า ภายในวันที่ 1 ต.ค.2560 จะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการทั่วถึงตามเป้าหมายครอบคลุมอย่างน้อยตำบลละ 1 ร้านค้า และมีเป้าหมายให้ร้านค้ากระจายทั่วถึงไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นร้านค้า แต่หากดูปริมาณเทียบกับผู้ที่ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนกว่า 11 ล้านคน จะเพียงพอ หรือ ทั่วถึงหรือไม่ หรือร้านค้าจะกระจุกอยู่เพียงในเมืองของจังหวัด ของตำบลนั้นๆ  หากหมู่บ้านที่ไกลออกไปจะคุ้มการลงทุนเดินทางไปหรือไม่ ??? ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้จังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ผ่านเกณฑ์อยู่ราว 400,000 คน ทางรัฐได้เตรียมเครื่องรูดบัตรไว้ 420 เครื่อง ซึ่งประมาณว่าร้านละ 1 เครื่อง ก็คือ 420 ร้านค้า แต่ตอนนี้ดำเนินการติดตั้งไปแล้ว 23 เครื่อง ดูจากสัดส่วนตัวเลขแล้วเกรงว่าคนจนในจังหวัดอุบลราชธานีจะมีร้านค้าทั่วถึงให้ทุกคนสามารถใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้หรือไม่ ??? หรือนโยบายเหล่านี้ที่ออกมาให้มีกฎเกณฑ์เยอะ ประชาชนใช้ลำบาก และจำกัดกลุ่ม เป็นนโยบายเพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล ???
นโยบายเหล่านี้ออกมาจากการ “คิดเอาเอง” ของผู้ปกครองที่ไม่เคยสัมผัสกับคนจนที่มีความหลากหลายในประเทศ ทำให้กลุ่มชายขอบต่างๆ เข้าไม่ถึงนโยบายการช่วยเหลือจากรัฐ   เครือข่ายสลัม 4 ภาค ยังคงจับตามองการดำเนินการต่อของรัฐบาลถึงการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร  ทำให้กังวลไปถึงคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 คณะ ที่มีการแต่งตั้งกันมา  โดยไม่มีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน  และผู้แทนที่เข้าไปส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเสียส่วนใหญ่  เกรงว่าหากถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างครบถ้วน  แต่การออกแบบนโยบายแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชนในแต่ละกลุ่มนั้นจะมีปัญหาดั่งเช่นนโยบายที่ผ่านมาหรือไม่   หรือจะเลือกรับฟังเสียงประชาชนให้มาก  เปิดใจรับฟังอย่างไร้อคติ เพื่อมีทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ตรงจุด สอดคล้องกับผู้เดือดร้อนได้อย่างยั่งยืน.

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม

  ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลาขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค “ที่ดิน” ทรัพยากรอันมีจำก...