วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

คนจนจะหมดไปจากประเทศไทย ภายใน 1 ปี ???

คนจนจะหมดไปจากประเทศไทย ภายใน 1 ปี ???
คนสันติ์  จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4ภาค
    
      ต้อนรับปีใหม่ กันแล้ว  ประชาชนคาดหวังว่าจะมีสิ่งดีๆเข้ามา  และจับจ้องโรดแมพ ปลายปี 61 จะเกิดการเลือกตั้งตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้หรือไม่   รวมถึงการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนซึ่งในปีที่ผ่านมารัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก “ผลงานไม่เข้าตา” คนยากจนปัญหายังหนัก  ซ้ำยังช่วงปลายปีรัฐบาลยังประกาศไว้ว่า “ในปี 61 คนจนจะหมดไปจากประเทศ” จริงหรือ???
ในด้านความมั่นคงในที่อยู่อาศัยในช่วงตลอดปีที่ผ่านมา  มีหลายชุมชนยังต้องประสบกับการถูกไล่รื้อ  ไม่ว่าจะเป็นการไล่รื้อโดยเอกชน  หรือ หน่วยงานรัฐ  ความรุนแรงในการใช้กำลังไล่รื้อในยุคสมัยนี้ไม่ค่อยจะได้พบเห็นแล้ว  แต่วิธีการขับไล่โดยกฎหมายกับใช้อย่างเข้มข้นมากขึ้น  ในช่วงปีที่ผ่านมามีชุมชนถูกบังคับ ขับไล่ หลายชุมชน  ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น  นี่เป็นเพียงตัวอย่างชุมชนที่ถูกไล่รื้อในปีที่ผ่านมา
-          ชุมชนบางปิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ  ชุมชนถูกกลุ่มบริษัทเอกชนฟ้องขับไล่  แล้วใช้มตารการทางกฎหมายตามจับชาวบ้านระหว่างออกเดินทางไปทำงาน  สร้างความเดือดร้อนให้ชาวชุมชนต้องหาเงินประกันตัวกันหลายราย
-          ชุมชนคลองเป้ง เขตวัฒนา กทม. ถูกสำนักงานเขตวัฒนาดำเนินการขับไล่  โดยใช้คำสั่งคณะปฎิวัติ ปี 2502 (ปว.44) ในการขับไล่ชาวชุมชน  ซึ่งคำสั่ง ปว.44 นี้เอง ชาวชุมชนหมดสิทธิ์ที่จะต่อสู้ในทางชั้นศาลได้เลย  เพราะเป็นอำนาจเต็มให้เจ้าหน้าที่สามารถรื้อย้ายชุมชนได้โดยไม่ต้องขึ้นศาลใดๆ
-           

ภาพการบังคับคดีไล่รื้อชุมชนบางปิ้ง

-          ชุมชนบางกอกน้อย 2  เขตบางกอกน้อย กทม.  ถูกสำนักงานโยธากรุงเทพมหานคร ไล่รื้อ  เนื่องจากแนวที่ตั้งชุมชนเป็นเขตการก่อสร้างขยายถนนเลียบทางรถไฟ   ถึงแม้ว่าชุมชนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ แต่กระบวนการการขับไล่โดยไปสร้างความแตกแยกภายในชุมชน  ซึ่งเลวร้ายไม่ต่างกัน
-          ชุมชนบ่อสีเสียด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง  ถูกการรถไฟแห่งประเทศไทย ฟ้องดำเนินคดีบุกรุก  เตรียมจะดำเนินการจับกุมชาวบ้าน  สาเหตุมาจากมีเอกชนไปฟ้องศาลปกครองว่าการรไฟฯ ปล่อยให้คนมาอยู่อาศัยในที่ดินของการรถไฟฯแล้วทำให้ทัศนียภาพของเขาไม่สวยงาม  การรถไฟฯจึงมาดำเนินคดีกับชาวชุมชนบ่อสีเสียดอีกทอดนึง
การไล่รื้อชุมชนในกรณีตัวอย่าง มีความต่างกันจากความเป็นเจ้าของที่ดิน  และกระบวนการการใช้กฎหมายเข้ามาเป็นเงื่อนไขไล่รื้อที่ไม่เหมือนกัน   แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันทุกกรณีคือ “ไม่มีหน่วยงานรัฐดูแล” สวนทางยุทธศาสตร์ 20 ปี ด้านที่อยู่อาศัยที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประกาศไว้  และดูเหมือนว่าคนจนจะหมดไปจากประเทศตามที่รัฐบาลประกาศไว้ จะเป็นการเก็บคนจนเข้าคุก???
ปรากฎการณ์ที่เห็นอยู่ปัจจุบัน  การแก้ปัญหาของรัฐบาลสำหรับคนจนที่ไร้ที่ดิน  ที่อยู่อาศัย มักจะจบลงคือต้องถูกดำเนินคดีเข้าคุก  ด้วยเหตุที่ว่าคนเหล่านั้นเพียงแค่ “จน” ไม่มีเงินจะไปซื้อที่ดินที่เป็นสินค้าราคาแพงในปัจจุบันได้   ยิ่งคนจนเมืองที่ราคาที่ดินตารางวาหลายหมื่น หลายแสนบาท  การเข้าถึงที่ดินจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย  สิทธิการอยู่อาศัยในเมืองของคนจน อยู่ที่ไหน????   หรือในเมือง  เขตเมือง  เป็นเขตชั้นที่ตั้งขึ้นสำหรับชนชั้นคนรวยเพียงเท่านั้น


มติคณะรัฐมนตรีแรกของปี 2561 ที่พยายาม “ขาย” บ้านประชารัฐให้ออก  มีมติเห็นชอบ โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง บนที่ดินราชพัสดุ ระยะที่ 2 จำนวน 8 แปลง ครอบคลุม 4 ภาค อาทิ 1.อำเภอ สัตหีบ ชลบุรี 2.อำเภอ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 3.อำเภอเมือง อุดรธานี 4.อำเภอเมือง นครพนม เนื้อที่รวมทั้งหมด 317 ไร่ 2 งาน 49.90 วา 2,757 ยูนิต ยูนิตละ 3.5 – 7 แสนบาท 
โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  กลุ่มที่สองคือกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน  กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มประชาชนทั่วไป  ซึ่งจะพิจารณาให้จากกลุ่มแรกก่อนเป็นสำคัญ  หากยังเหลือจึงมาเป็นกลุ่มที่สอง และหากยังเหลือก็จะเป็นกลุ่มที่สาม ถึงจะสามารถซื้อได้  ลองหลับตานึกภาพสำหรับคนที่มีเงินเดือนไม่ถึง 8,300 บาทต่อเดือน (ปีละไม่เกิน 100,000 บาท)  จะต้องมาชำระจ่ายรายเดือนราว 3,000 บาทต่อเดือน  เหลือเงินใช้จ่าย 5,300 บาทต่อเดือน  เพียงพอต่อการใช้จ่ายหรือไม่  หรือจะต้องไปเป็นหนี้ในระบบ นอกระบบ เป็นปัญหาใหม่เกิดขึ้นต่อไป   สุดท้ายแล้วโครงการดังกล่าวจะไปตกอยู่ในกรรมสิทธิ์ของคนกลุ่มใดกันแน่???
ความมั่นคงในที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนจนเมือง   โครงการบ้านประชารัฐที่รัฐบาลกำลังโหมกระหน่ำโฆษณาทุกวันเวลา 18.00 น. ปรากฏว่าโครงการดังกล่าวนอกจากไม่ได้ช่วยเหลือคนไม่มีที่อยู่อาศัยแล้วเพราะไม่ผ่านกฎเกณฑ์  เนื่องจากการเข้าถึงบ้านของการเคหะฯก็ไม่ได้ต่างจากธนาคารพานิชย์ทั่วไป   แต่นโยบายโครงการดังกล่าวยังเป็นช่องทางทำเงินสำหรับคนรวยที่สามารถกว้านซื้อแล้วนำไปปล่อยเช่า หรือขายทำกำไรต่อไปได้   หากเข้าเวปไซค์จะหาซื้อบ้านที่การเคหะฯจะพบเห็นว่ามีคนมาขายต่อ หรือปล่อยเช่า เยอะแยะเต็มไปหมด 
มติคณะรัฐมนตรี อาทิตย์ถัดมา มีมติจะเพิ่มวงเงินอุดหนุนช่วยเหลือ  อนุมัติมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฟส 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ภายใต้งบประมาณ 35,679.09 ล้านบาท หรือพูดง่ายๆคือ จะเพิ่มวงเงินต่อเดือนให้สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คือ สำหรับคนที่ได้ 300 บาทต่อเดือนก็จะเป็น 500 บาทต่อเดือน ส่วนคนที่ได้ 200 บาทต่อเดือน ก็จะได้รับ 300 บาทต่อเดือน  แต่ !!! มีเงื่อนไขต้องลงทะเบียนเข้าร่วมการพัฒนารายบุคล ทั้งฝึกอาชีพและพัฒนาทักษะ ตามที่รัฐบาลกำหนด โดยผู้ที่เข้ารับการฝึกอาชีพจะได้รับเงินในเดือนถัดไปหลังจากที่ได้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้จนถึงเดือน ธ.ค. 2561 และในการดำเนินการดังกล่าว หากผู้ที่เข้าร่วมฝึกอบรมผิดเงื่อนไขไม่ทำตามที่กำหนดไว้ รัฐจะหักเงินเพิ่มในเดือนถัดไปออกทันที  ซึ่งยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะกำหนดการฝึกอย่างไร  ใช้ระยะเวลานานขนาดไหน  สอดคล้องกับคนที่ยากจนมากน้อยเพียงใด
รัฐบาลพยายามจะให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นพระเอกในการแก้ปัญหาคนจนในประเทศ  โดยที่ไม่หันมองด้านหลังว่ากระบวนการคัดกรองความยากจนของผู้ได้รับบัตรนั้นมีปัญหามากเพียงใด   ยังมีกลุ่มคนจนอีกหลายคนที่ตกหล่นไม่ได้รับสิทธิ์  และมีอีกหลายคนที่ไม่สมควรจะได้สิทธิ์ดังกล่าว   และมาตรการใหม่ออกมากลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยากจนจริง  จะมีศักยภาพเข้าถึงได้จริงหรือไม่  นี่คือรูปแบบการทำงานที่ไม่ต่างไปจากรัฐบาลเดิมๆที่เคยทำ “ปัญหาเก่าไม่แก้ สร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา”
กลุ่มคนจนที่ไม่มีแม้กระทั่งเงินเปิดบัญชีธนาคาร กลุ่มเหล่านี้แทนที่จะเป็นกลุ่มแรกๆที่จะได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือ  แต่กลับกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงิน   กลุ่มคนที่เปิดบัญชีให้กับชุมชน / หมู่บ้าน เพื่อการออมทรัพย์ของคนยากจน  เป็นอีกกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็นคนรวย  ปัญหาเหล่านี้รัฐบาลกลับปล่อยปละละเลย  สุดท้ายแล้วคำประกาศของรัฐบาลที่จะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทยก็เป็นได้เพียงคำโอ้อวดคำโต  สุดท้ายคนจนก็ยังคงอยู่ในวังวนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หากรัฐบาลยังไม่สามารถที่จะคิดหาทางแก้ปัญหาได้  ก็ควรที่จะเร่งมือเดินหน้าให้เกิดการเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อจะได้ให้พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง  ให้ประชาชนได้เสนอนโยบายต่อพรรคการเมือง  นำไปเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกจุดจะดีกว่า !!!


ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม

  ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลาขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค “ที่ดิน” ทรัพยากรอันมีจำก...