บวร : บ้าน , วัด
, โรงเรียน
สังคมแห่งการเกื้อกูล
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
“วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง” สุภาษิตนี้ เรามักจะเห็นกันเมื่อไปวัดวาอารามต่างๆ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าบ้านและวัดขาดกันไม่ได้เลย
นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนที่เข้ามามีบทบาทในสองหน่วยหลักทางสังคมเพิ่มอีกหนึ่ง คำว่า “บวร”
จึงไม่ได้มีความหมายตามพจนานุกรมไทยที่แปลว่า ประเสริฐ , ล้ำเลิศ เท่านั้น
แต่มันมีที่มาจาก
บ คือ บ้าน บ้านที่มีชาวบ้าน มีคนอาศัยอยู่ผู้ที่จะสืบสานวัฒนธรรม
ศาสนา และซึมซับคำสอนจากพระสงฆ์
เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุนให้พระพุทธศาสนาได้ยั่งยืนยาวนานอย่างถึงแก่นแท้
ว คือ วัด วัดที่มีพระสงฆ์
ผู้ที่อาสาจะละกิเลศทางโลกมาศึกษาพระธรรม เพื่อเผยแผ่หลักพุทธศาสนาให้ชาวบ้านได้เข้าใจถึงการดำรงชีวิตอย่างสงบ
เป็นสุข
ร คือ โรงเรียน
เดิมที่แหล่งที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้นั้นคือวัด
ต่อมาได้แยกออกมาเป็นโรงเรียนที่เป็นสถานให้การศึกษาโดยตรงต่อทุกเพศ ทุกวัย
ซึ่งปัจจุบันยังมีโรงเรียนอีกหลายแห่งที่ยังมีชื่อวัดเป็นชื่อโรงเรียนอยู่
ฉะนั้นคำว่า “บวร”
จึงไม่ใช่เพียงคำประกอบที่ใช้เรียกสถานที่ต่างๆเท่านั้นมันมีที่มาถึงสังคมที่เกื้อกูล ส่งเสริม ช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกันในวงเวียนสังคมนั้นๆ
ความเจริญที่แท้จริงของสังคมที่จะมีความสุขจึงจะสมบูรณ์แบบ
หากแต่ย้อมมามองสังคมปัจจุบันคำว่า
“บวร” กลับกลายเป็นคำยกยอสรรเสริญสถานที่แห่งเดียวนั้นคือ วัด และความเป็นวัดเองก็เป็นพุทธพาณิชย์
เน้นทางธุรกิจจะเห็นได้จากที่ว่างต่างๆในที่ดินวัดหลายแห่งถูกนำมาจัดสรรเป็นลานจอดรถบ้าง ตลาดนัดบ้าง
หรือแม้แต่บางแห่งอาจจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยกันเลยทีเดียว
เมื่อปี 2550 หากยังพอจะจำกันได้
“ชุมชนหวั่งหลี” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดินของวัดยานนาวา
อยู่คู่กันมาอย่างยาวนานถูกทางวัดฟ้องขับไล่ไม่เหลือสักหลัง
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้อาคารโบราณทรงเรือสำเภาได้ถูกทุบทิ้งทำลายไปจากเหตุผลที่อ้างว่าต้องการใช้พื้นที่เพื่อการทางพุทธศาสนา
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นตึกโรงแรมหรู 32 ชั้น กับสัญญาเช่าที่ดินกับทางวัดระยะยาว
30 ปี ส่วนชุมชนเก่าแก่
ผู้อาศัยต้องกระจัดกระจายกันไปหาที่อยู่อาศัยตามมีตามเกิด
นั้นไม่ใช่เพียงแต่วัดที่ไล่ชาวบ้านอย่างไม่แยแสความเป็นอยู่ชาวบ้านกลุ่มนั้น แต่เป็นการทำลายอาคารโบราณทรงเรือสำเภาที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชกาลที่
3 ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลังได้เห็นรูปแบบเรือสำเภาและประวัติการเจริญสัมพันธไมตรีของการค้าขายระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศ
ช่วงปี 2550
ปีเดียวกันนั้นก็มีชาวบ้านแขวงขุมทองและแขวงทับยาว
เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ประมาณ 500 กว่าคน ซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดอนงคารามวรวิหาร เนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ ซึ่งได้อยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาประมาณ 40 ปี มาแล้ว
ต่อมาทางวัดได้มอบอำนาจให้
ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้ชาวบ้านรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
และยังให้ชดใช้ค่าเสียหายอีก3,000 บาท บางหลังก็ 5,000 บาท
โดยอ้างว่าพวกชาวบ้านที่มาอยู่อาศัยในที่ดินของวัดสร้างความเสียหายให้กับที่ดินของวัดแล้วยังเรียกค่าโนติสอีกฉบับละ 1,000 บาท นอกจากนี้
หากใครจะอยู่ต่อต้องลงทะเบียนเป็นผู้เช่าตามแบบฟอร์มที่ทางวัดกำหนด
ถ้าใครจะลงทะเบียนต้องเสียค่ากระดาษ 1,000 บาท
และต้องเสียค่าเช่าเพิ่มจากเดิมตารางวาละ 6 บาทต่อเดือน
ซึ่งปกติชาวบ้านจะเสียค่าเช่าให้กับทางวัดปีละ 570 ต่อหลังต่อปี แต่เงื่อนไขใหม่ที่ทางวัดเสนอมา จะต้องเสียค่าเช่าปีละ 28,800 บาท ซึ่งชาวบ้านไม่มีปัญญาชำระเนื่องจากเป็นคนยากจน ซึ่งเป็นการบีบบังคับให้ออกไปทางอ้อม
ช่วงปลายปี 2557
กลุ่มชาวชุมชนวัดไผ่ล้อมที่อาศัยอยู่หน้าวัดไผ่ล้อมกว่า 76 หลังคาเรือน
ต.พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ทางวัดต้องการเวนคืนที่ดินที่ชาวบ้านเช่าอยู่ในปัจจุบันคืน ชาวชุมชนทราบมาว่าจะสร้างเป็นอาคารพาณิชย์
และให้ชาวบ้านซื้อสิทธิเข้าอยู่ใหม่ในราคาคูหาละประมาณ 3.5 ล้านบาท ขณะที่ค่าเวนคืนก็ให้แค่หลังละ 20,000 บาท
หากชาวบ้านต้องการอาศัยอยู่ต่อจะต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อสิทธิเข้าอยู่ใหม่ ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีบ้านปูนชั้นเดียวเลขที่ 999 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้แก่คนพิการรายหนึ่งไว้เป็นที่พักอยู่ด้วย
ต้นปี 2558 ชาวบ้านชุมชนชัยพฤกษมาลากว่า 200 คน
รวมตัวประท้วงขับไล่เจ้าอาวาสวัดชัยพฤกษมาลาราชวรวิหาร ย่านตลิ่งชัน
เหตุปิดประตูเข้าออกด้านหลังวัดจนชาวบ้านฝั่งตลิ่งชันและบางกรวยไม่สามารถข้ามมาได้ เกิดเหตุการณ์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพระปริยัติวโรปการ
เจ้าอาวาสวัดชัยพฤกษมาลาราชวรวิหาร กับชาวบ้านในชุมชน และบริเวณใกล้เคียง
เนื่องจากชาวบ้านไม่พอใจที่พระปริยัติวโรปการ
สั่งปิดประตูเข้าออกบริเวณด้านหลังวัด ทำให้ชาวบ้านในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะชาวบ้านฝั่งตลิ่งชันและบางกรวย ที่ไม่สามารถข้ามมาอีกฝั่งได้
แต่หากชาวบ้านต้องการข้ามฝั่งก็ต้องเสียค่าที่และค่ากุญแจกับทางวัดเป็นจำนวนเงิน 400
บาทต่อเดือน
และเจ้าอาวาสเริ่มไม่ต่อสัญญากับชาวชุมชนเพื่อเตรียมจะขับไล่ต่อไป
ชาวชุมชนวัดชัยพฤกษมาลาขับไล่เจ้าอาวาส
เมื่อไม่นานมานี่เอง
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ชุมชนวัดกัลยาณ์ ถูกวัดกัลยาณมิตรวรวิหาร
นำเจ้าหน้าที่บังคับคดีหลังจากที่ฟ้องขับไล่ชาวชุมชนจำนวน 54 หลังตาเรือน
จากจำนวนชุมชนทั้งหมด 230 หลังคาเรือน
เหตุผลอ้างเช่นเคยว่าจะทำเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้พุทธประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวัดเก่าแก่แห่งนี้
แต่การกระทำของเจ้าอาวาสแห่งนี้กลับทำตรงข้ามคือ ได้มีการทุบทำลายโบราณสถาน
หลายอย่างไปทั้งที่สิ่งเหล่านั้นได้ขึ้นทะเบียนกับทางกรมศิลปากรไว้แล้ว ยังไม่รวมถึงการส่งคนมาพูดจาข่มขู่ คุกคาม กันถึงหน้าบ้าน
หากไม่ย้ายออกไปอาจจะได้รับอันตรายกับชีวิตและทรัพย์สิน
ซึ่งก็เป็นจริงประธานชุมชนถูกคนมาถีบมอเตอร์ไซค์ล้มที่หน้าชุมชน และมีการทุบทำลายท่อประปา ตัดสายไฟฟ้า
พังทางเท้า
บีบคั้นทางอ้อมไม่ให้ชาวชุมชนส่วนที่เหลือไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข
สภาพชุมชนวัดกัลป์ยาณ์ถูกขับไล่ไปบางส่วน
และอีกกรณีชุมชนวัดใต้ ตั้งอยู่ย่านเศรษฐกิจอ่อนนุช กว่า 60
หลังคาเรือน
กำลังถูกเจ้าอาวาสวัดใต้ฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ โดยเหตุผลที่คล้ายคลึงกันคือจะนำพื้นที่ก่อสร้างให้เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยที่ศาล
เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นมาหากทางวัดเองมีจิตใจเมตตา
กรุณา คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนานของชุมชนกับวัด ปรากฏการณ์เหล่านี้มีความคล้าย
ความเหมือนกันแม้จะต่างวัดสถานที่กันก็ตามคือ
1. ชุมชนที่ถูกขับไล่เป็นชุมชนที่เช่าที่ดินวัดอย่างถูกต้อง และอยู่อาศัยมาอย่างยาวนานคู่กับวัด
2. การเข้าพบที่จะขอพูดคุยกับทางเจ้าอาวาสแต่ละวัดนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ จะได้เพียงแต่เจรจาผ่านทนายเท่านั้น
เว้นแต่ทางวัดใต้ ที่มีเจ้าอาวาสมาเจรจาด้วย
กับท่าทางหันข้างในการพูดคุยกับชาวบ้าน
3. เหตุผลที่อ้างในการขับไล่มักจะอ้างเรื่องการใช้ที่ดินเพื่อเป็นประโยชน์ทางพุทธศาสนา
แต่สุดท้ายหลายกรณีมักเป็นการใช้ที่ดินในเชิงพาณิชย์แทน
4. การขับไล่ชุมชนไม่เพียงแต่ทำให้ชุมชนเก่าแก่ต้องหายไป
แต่จะมีสิ่งโบราณสถานที่สำคัญๆได้เสียหายไปพร้อมด้วย
หากการบริหารที่ดินที่ได้จากการบริจาคด้วยความศรัทธาทางศาสนาแล้วต้องมากระทบกับชาวชุมชนที่อาศัยอยู่
เราคงต้องกลับมาหันมองดูว่าที่ดินเหล่านี้สมควรจะบริหารโดยเจ้าอาวาสเพียงผู้เดียวหรือไม่
การปฏิรูปที่ดินวัดจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ในประเทศที่มีประชากรนับถือพุทธศาสนากันเป็นส่วนใหญ่ ยังคงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ...