บทบาทของผู้หญิงในงานสลัม
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ผมถือโอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่รื้อกวาดจัดข้าวของในสำนักงาน
ซึ่งอยู่ในสภาพรกรุงรังเต็มทน เลยทำให้ไปเจอธงกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งมีข้อความเขียนว่า “หยุดการไล่รื้อ คือการหยุดทำร้ายผู้หญิง”
ความในประโยคดังกล่าว ทำให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำและหวนรำลึกได้ถึงการเดินขบวนเนื่องในวันสตรีสากลเมื่อราว
2 ปีก่อนของกลุ่มผู้หญิงชาวสลัมที่สังกัดอยู่ใน “เครือข่ายสลัม 4 ภาค” และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวาระ “วันสตรีสากล” กำลังใกล้จะมาถึงอีกครั้งในวันที่ 8
มีนาคม 2551 นี้ ผมจึงอยากที่จะลองทบทวนดูบทบาทการทำงานของผู้หญิงในสลัม ดูชีวิตและสิทธิที่พวกเธอไขว่คว้า ผ่านประสบการณ์ที่ผมได้พบเห็นมา
บทบาทหนึ่งที่ผู้หญิงในสลัมยืนเคียงข้างผู้ชาย
กระทั่งล้ำหน้ากว่าฝ่ายชายในงานพัฒนาชุมชน
ก็คือบทบาทในการปกป้องบ้านและต่อต้านการไล่รื้อ ในชุมชนแออัดที่อยู่ในสภาวะถูกไล่ที่นั้น ผมมักจะเห็นพลังของผู้หญิงถูกขับออกมาเพื่อเผชิญกับการไล่รื้อ เวลาประชุมเรื่องไล่ที่ ผู้เข้าร่วมเกินกว่าครึ่งคือผู้หญิง สีหน้าจริงจังและแววตาที่ครุ่นคิด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของพวกเธอ และภารกิจหลังประชุมก็มักตกอยู่กับความรับผิดชอบของเธอ ไม่ว่าจะเป็น การสำรวจข้อมูลชุมชน การตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย การเก็บเงินออม
ในยามประจันหน้ากับเจ้าของที่ดิน ทนาย
และตำรวจ ปากเสียงและถ้อยคำของแถวผู้หญิงที่ยืนเรียงหน้า คือกำแพงที่ช่วยปกป้องบ้านและชุมชน แม้ว่าบางครั้งเรื่องราวอาจจะจบลงด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็จำเป็นเพราะมันเป็นทางเลือกสุดท้ายของฝ่ายคนจนที่นำมาใช้เพื่อเปิดโต๊ะเจรจา ชะลอการรื้อย้าย รวมทั้งให้ชุมชนมีโอกาสเตรียมตัวแสวงหาที่ดิน –
ที่อยู่อาศัย
และหากการพูดคุยบรรลุผล
เมื่อถึงคราวที่ต้องฝันถึงการยกเสาเอกบ้านหลังใหม่
ก็พวกผู้หญิงอีกนั่นแหละที่มักจะเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องแบบบ้านและขนาดแปลงที่ดินที่พอเหมาะพอสมกับกำลังเงินออม
เงินกู้ของตนเอง
ตามข้อสันนิษฐานของผม
เหตุที่ผู้หญิงในสลัมเข้าร่วมต่อสู้ในเรื่องไล่รื้อในสัดส่วนที่มากกว่าผู้ชาย น่าจะเป็นเพราะความผูกพันที่พวกเธอมีต่อ “บ้าน” แน่นอนว่าผู้หญิงจำนวนหนึ่งมีเวลามากกว่าผู้ชาย เพราะว่างงานหรือทำงานอยู่ที่บ้านจึงมีส่วนร่วมได้ง่าย แต่ก็มีไม่น้อยที่ทำงานนอกบ้าน ทั้งงานในระบบตามบริษัท ห้างร้าน โรงงาน หรืองานแบบไม่เป็นทางการ อาทิ
ค้าขาย หาบเร่แผงลอย
รับซื้อของเก่า
และหลังจากเลิกงาน
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านที่อยู่อาศัยของพวกเธอก็ยังเหนือกว่าผู้ชายอยู่ดี
ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นเพราะผู้หญิงมีความเป็นห่วงบ้านมากกว่า คุ้นชินกับพื้นที่บ้านมากกว่า เนื่องจากพวกเธอเข้าครัวทุกวัน ซักล้างเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งเก็บกวาดบ้านเรือนมากกว่าผู้ชาย
อีกอย่างคือ ผู้หญิงอยู่ใกล้ชิดกับเด็กๆมากกว่า ทำให้เธอกังวลต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลานในสภาวการณ์ไล่รื้อ ที่ผมได้ยินพวกเธอไต่ถามฝ่ายเจ้าของที่อยู่บ่อยๆก็คือประโยคในทำนอง
“ให้ย้ายตอนนี้แล้วเด็กๆจะไปเรียนที่ไหน
นี่มันกลางเทอมนะ
โรงเรียนยังไม่ปิดเลย” ในทัศนะของพวกเธอ บ้านในสลัมไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่พักอาศัย หากยังหมายถึงการค้ำจุนวิถีชีวิตของครอบครัวในแง่ของการอยู่ใกล้แหล่งทำมาหากินและสถานศึกษาของลูกหลาน ดังนั้นการไล่รื้อ การย้ายถิ่นฐานโดยกะทันหัน จึงกระทบต่อวิถีชีวิตโดยรวมของพวกเธอ
ทั้งหมดที่กล่าวมา
จึงน่าจะเป็นมูลเหตุและแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงในสลัมมีบทบาทอย่างสูงในการปกป้องบ้านและชุมชนจากปัญหาการไล่รื้อ
นอกจากเรื่องไล่รื้อ งานด้านสวัสดิการสังคม ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ผู้หญิงในสลัมมีบทบาทสำคัญ ซึ่งเผยโฉมให้เห็นได้ตั้งแต่ การเคลื่อนไหวในเรื่องการศึกษาฟรี การทำงานด้านสุขภาพ รวมถึงการจัดสวัสดิการในชุมชน
ในประเด็นเรื่องการศึกษาฟรี กลุ่มผู้หญิงในชื่อ “กลุ่มแม่บ้านศูนย์รวมพัฒนาชุมชน” หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสลัม 4
ภาค ได้ทำการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในปี
2542 สมัยที่นายพิจิตร รัตตกุล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้เพื่อให้โรงเรียนในสังกัด กทม. จำนวน
436 โรงเรียน ทำตามนโยบายของผู้บริหารที่ประกาศว่าเด็กนักเรียนใน กทม.
นั้นต้องเรียนฟรีตามคำขวัญ “มาตัวเปล่าเข้าเรียนได้เลย” แปลความก็คือ ทางโรงเรียนจะไม่เก็บค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมอื่นใดอีก แต่ข้อเท็จจริงกลับเป็นว่า นอกจากค่าเทอมที่โรงเรียนไม่เก็บแล้ว
ผู้ปกครองกลับต้องเสียค่าโน่นค่านี่จิปาถะ ทั้งค่าชุดนักเรียน ค่าอาหารกลางวัน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าคอมพิวเตอร์ และรวมถึงค่าบำรุงสมาคมในบางโรงเรียน ซึ่งรวมๆกันแล้วค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้จะมากกว่าค่าเล่าเรียนเสียด้วยซ้ำ
กลุ่มแม่บ้านศูนย์รวมฯในฐานะแกนนำการเคลื่อนไหวครั้งนั้น จึงรณรงค์ให้การจัดการศึกษาต้องฟรีจริง โดยเริ่มจากการเปลี่ยนสโลแกนเสียใหม่เป็น “มาตัวเปล่ากลับบ้านได้เลย” จากนั้นก็พาลูกหลานหยุดโรงเรียนแล้วยกพลไปเจรจากับท่านผู้ว่าฯที่หน้าศาลาว่าการ
ทำให้ในท้ายสุดกรุงเทพมหานครต้องสั่งการให้โรงเรียนในสังกัดแจกชุดนักเรียนฟรี จัดอาหารกลางวันให้ฟรี และไม่เก็บค่าอุปกรณ์การเรียนกับเด็กนักเรียน
อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงยุคผู้ว่าฯสมัคร สุนทรเวช
มีกระแสว่ากรุงเทพมหานครจะตัดงบสนับสนุนด้านการศึกษาลง แต่กระแสนั้นก็ต้องเงียบไปภายหลังการเดินขบวนซ้ำอีกครั้งของกลุ่มแม่บ้านในสลัม จากเรี่ยวแรงของผู้หญิงกลางถิ่นน้ำครำที่เคลื่อนไหวตรวจสอบนโยบายการเรียนฟรี ส่งผลให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนของกรุงเทพมหานครทุกแห่งที่ไม่ใช่แค่เด็กสลัม ได้รับสวัสดิการทางการศึกษาเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน
ส่วนการทำงานด้านสุขภาพนั้น เครือข่ายสลัม 4 ภาค
มอบหมายให้กลุ่มพัฒนาชุมชนใต้สะพาน
องค์กรสมาชิกที่ในขณะนี้ได้ที่ดินและจัดที่อยู่อาศัยในชุมชนใหม่โดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาการไล่รื้ออีกมาเป็นตัวหลักในการดำเนินงาน แต่ในท้ายสุดภารกิจด้านนี้ก็หนีไม่พ้นน้ำมือของผู้หญิง
มีการจัดตั้งศูนย์สิทธิและส่งเสริมสุขภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
( สป.สช. )
ขึ้นในพื้นที่ชุมชนใหม่ใต้สะพาน
เพื่อให้เป็นศูนย์นำร่องในการสร้างความเข้าใจต่อเรื่องหลักประกันสุขภาพ การเข้าถึงการรักษาพยาบาลของรัฐ ตลอดจนติดตามตรวจสอบการบริการของโรงพยาบาลว่าละเมิดต่อสิทธิของประชาชนหรือไม่
ขอบข่ายงานดังกล่าว ทำให้แกนผู้หญิงจากกลุ่มพัฒนาชุมชนใต้สะพาน ต้องตระเวนจัดฝึกอบรมไปตามฐานชุมชนของเครือข่ายสลัม
4 ภาค และสิ่งที่ทำให้พวกเธอภาคภูมิใจคืออะไรเล่าถ้าไม่ใช่
การช่วยคนตกหล่นด้านทะเบียนราษฎร์ให้มีบัตรหลักประกันสุขภาพ
การประสานให้คนป่วยได้รับสิทธิ์ในการรักษาฉุกเฉิน รวมถึงการได้เถียงคอเป็นเอ็นกับหมอและพยาบาลที่ไม่ค่อยใส่ใจต่อชีวิตของคนจน
สำหรับการจัดกลุ่มสวัสดิการชุมชนนั้น ถือเป็นงานถนัดของกลุ่มผู้หญิง วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งเครือข่ายสลัม 4
ภาค
นอกจากจะเพื่อต่อสู้ในประเด็นสิทธิที่อยู่อาศัยและเคลื่อนไหวในเชิงความเป็นธรรมทางสังคมแล้ว
การสร้างแบบแผนทางเลือกในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวสลัม ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของการก่อเกิดขบวนการคนจนในเมืองกลุ่มนี้ ดังนั้นเครือข่ายสลัม 4 ภาค
จึงกำหนดให้มีฝ่ายงานทางเลือกขึ้นเพื่อค้นคว้ารวมทั้งปฏิบัติการงานพัฒนาด้านต่างๆที่นอกเหนือจากเรื่องที่อยู่อาศัย
หน่ออ่อนของงานด้านนี้ที่พอจะเห็นได้ก็เช่น
กองทุนกู้ยืมฉุกเฉินของกลุ่มแม่บ้านในสลัมซึ่งมียอดเงินหมุนเวียนอยู่กว่า 2
ล้านบาท
สหกรณ์ขยะรีไซเคิลที่รับแลกสินค้าอุปโภคบริโภคด้วยขยะและของเก่า กลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพโดยนำขยะมาส่งเป็นเบี้ยประกันเดือนละ
30 บาท
รวมทั้งร้านค้าสวัสดิการชุมชนที่ปันผลกำไรครึ่งหนึ่งคืนแก่สมาชิก ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะถูกแปรไปเป็นเงินกองทุนการเคลื่อนไหวของผู้นำชุมชน อย่างหลังนี้ผมมักจะไปใช้บริการอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะเวลาที่ลงชุมชนแล้วเปรี้ยวปากอยากกินเหล้า นัยว่าเพื่อช่วยสมทบส่วนให้กับกองทุนผู้นำ
กิจกรรมเชิงสวัสดิการเหล่านี้ แม้บางอย่างจะถูกริเริ่มมาจากผู้ชาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเชิงของการเป็น “มือบริหารจัดการ” ในเรื่องของเงิน การบัญชี และค้าขายนั้น
กลุ่มผู้หญิงมีความจัดเจนกว่าอย่างแน่นอน
ตามความรู้สึกของผม หากไม่นับพลังกายใจ
ที่ผู้หญิงสมทบให้กับงานพัฒนาชุมชนแล้ว
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของพวกเธอก็คือ
ความเป็นผู้หญิงในทางวัฒนธรรม
ผู้หญิงในสลัมมีฝีไม้ลายมือทางกับข้าวกับปลา ยามเย็นในชุมชนจึงมักเป็นบรรยากาศที่ควันไฟในครัวลอยปะปนไปกับเสียงตำครกโขลกน้ำพริก เสียงตะหลิวกระทบน้ำมันร้อนฉ่าในกระทะ วันไหนที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค ลงชุมชน สิ่งที่ตามมาภายหลังการพบปะสมาชิก จะไม่มีทางเป็นอย่างอื่นนอกจากน้ำใจของหญิงเจ้าบ้านที่มาในรูปของมื้อเย็นรสเด็ด เป็นต้นว่า
แกงส้ม แกงเผ็ด ปลาร้า
ปลาแจ่ว แล้วก็น้ำพริก ผักต้ม
วันสตรีสากลกำลังจะมาถึงอีกครั้ง สำหรับสังคมไทย ผู้หญิงจากทุกภาคส่วนคงจะมีข้อเรียกร้องในเชิงสิทธิ
ผมไม่รู้ว่าปีนี้ผู้หญิงชาวสลัมจะเดินขบวนกันหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆผมรู้อยู่เสมอว่า พวกเธอกำลังไถ่ถามและปฏิบัติการทวงสิทธิของตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เป็นสิทธิของผู้หญิงที่ไม่ได้มีความหมายแค่ประโยชน์เชิงปัจเจก หากแต่เกี่ยวพันแน่นแฟ้นอยู่กับสิทธิในเชิงถิ่นฐานที่อยู่ สิทธิของลูกหลาน รวมไปถึงสิทธิของชุมชนที่จะมีความมั่นคงทางสังคม.