ย่างก้าวการต่อสู้
เพื่อที่อยู่อาศัย .... เครือข่ายสงขลาสามัคคี
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในระหว่างการลงพื้นที่ชุมชนในจังหวัดตรัง และสงขลาซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
แต่เดิมส่วนใหญ่มาบุกเบิกสองข้างทางรางรถไฟเป็นที่พักอาศัยเพื่อจะหางานทำในเมือง
เป็นแรงงานราคาถูก
สำหรับการพัฒนาเมืองให้ใหญ่โตโดยเฉพาะในปัจจุบันการจะขยายตัวในกรุงเทพมหานครที่กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว
ขยายตัวไม่ค่อยจะออก
สังเกตได้จากการจัดทำหมู่บ้านจัดสรร ที่เริ่มก่อสร้างในพื้นที่ชานเมืองหรือไม่ก็เป็นจังหวัดปริมณฑล ทิศทางการขยายเมืองเริ่มที่จะกระจายไปยังหัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา , ขอนแก่น , อุดรธานี , อุบลราชธานี , เชียงใหม่ , สงขลา
, ภูเก็ต , ชลบุรี เป็นต้น
เมืองเหล่านี้กำลังจะจำลองกรุงเทพมหานครมาไว้ที่จังหวัดของตัวเอง และแน่นอนการจะทำให้เมืองเหล่านี้เติบโตขึ้นมาได้จำเป็นที่จะต้องมีแรงงานในทุกภาคส่วนมาช่วยกันก่อร่างสร้างเมือง ซึ่งแรงงานราคาถูกหรือแรงงานนอกระบบ....แต่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างความเจริญของเมืองได้
หากจะย้อนไปสัก 10 – 20 ปี ที่แล้ว เมืองสงขลายังเป็นเมืองที่เงียบๆไม่มีความรุ่งเรืองทางวัตถุมากนัก
มีการยกเลิกการเดินรถไฟในเส้นทางหาดใหญ่ ไปสู่ เมืองสงขลา ในปี 2521
ด้วยเหตุผลไม่คุ้มทุนกับการเดินรถเพราะยังมีประชาชนอาศัยอยู่น้อย
หากจะมีความครึกครื้นกันบ้างในเขตอำเภอหาดใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงกับคึกคักมากมาย แต่ก็เริ่มมีวี่แววความเจริญที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากการอพยพแรงงานเข้ามาหางานทำในตัวหาดใหญ่
การสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้นในตัวเมืองสงขลา ที่ดินถูกจับจองมีเจ้าของเพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นที่ดินโฉนด หรือจะเป็นการจองที่ดินรัฐ ที่ปล่อยรกร้างว่างเปล่าไม่ใช้ประโยชน์กัน
ที่เห็นเป็นจุดใหญ่สุดคือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ยกเลิกการเดินรถในเส้นทางหาดใหญ่ – สงขลา
ได้มีประชาชนที่อพยพมาทำมาหากินเข้าจับจอง บุกเบิก บ้างไปขอเช่า
บ้างเข้าไปอยู่เลย บ้างต้องไปเสียค่าหน้าดินให้กับผู้จับจองก่อน และในปัจจุบันก็กลายเป็นชุมชนเมืองขึ้นมาหลายจุดตามแนวรางรถไฟเดิมที่ไม่ได้ใช้งานในตัวเมืองหาดใหญ่และสงขลา
กว่า 5,000 หลังคาเรือน
จังหวัดสงขลาในปัจจุบันเป็นเมืองที่มีความเจริญมากและมีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น
ทั้งนี้เพราะเมืองสงขลาเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว เขตชายแดนการค้าระหว่างประเทศ
จึงทำให้ผู้คนจากภูมิภาคทางใต้หรือจากภูมิภาคอื่น
อพยพโยกย้ายเข้ามาหางานทำในเมืองสงขลาใครที่มีทุนก็สามารถที่จะซื้อที่ดินสร้างที่อยู่อาศัยได้
หากทุนน้อยหน่อยก็เช่าที่พักตามอพาทเม้นที่มีอยู่กลาดเกลื่อน
(ซึ่งหาห้องว่างเริ่มยากแล้วในปัจจุบัน) หากใครไม่มีทุนในการหาที่อยู่อาศัยก็จะมาบุกเบิกถางพงในที่ดินรกร้างว่างเปล่าในที่ดิน
เช่นที่ดินการรถไฟฯอย่างที่ได้กล่าวข้างต้น
หากจะมามองในมุมของขบวนการประชาชนที่เมืองสงขลาเองก็มีองค์ชาวบ้านอยู่หลากหลาย มีหลายกลุ่มองค์กร
แต่ถ้าหากในเรื่องด้านสิทธิที่ดินที่อยู่อาศัยแล้วอยากจะขอกล่าวถึง
“เครือข่ายสงขลาสามัคคี”
ที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองขับเคลื่อนในการผลักดันการแก้ปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัยร่วมกับเครือข่ายสลัม
4 ภาค กันมา
เครือข่ายสงขลาสามัคคี
เป็นองค์กรชาวบ้านที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของผู้ที่มีความเดือดร้อนในด้านที่ดินที่อยู่อาศัยในเมือง มีความเป็นอยู่ราวกับเป็นพลเมืองชั้นสองของจังหวัดสงขลา
เพราะยังคงมีบางส่วนที่ยังไม่สามารถขอทะเบียนบ้านถาวรได้ ซึ่งจะนำไปสู่การขอประปา – ไฟฟ้า
แบบถาวรไม่ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างที่ได้พบเห็นคือชุมชนเขารูปช้าง
2 มีท่อประปาของการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดสงขลา
วางแนวท่อผ่านหน้าบ้านที่เป็นที่ดินของการรถไฟฯแต่ชาวชุมชนไม่สามารถที่จะขออนุญาตติดตั้งมิตเตอร์ได้
เพราะการประปาฯอ้างว่าบุกรุกที่ดินรถไฟฯไม่สามารถดำเนินการให้ได้ ทั้งๆที่การประปาฯเองก็เป็นผู้บุกรุกการรถไฟฯเช่นเดียวกันในการวางท่อประปาเพื่อที่จะไปต่อให้กับบ้านที่อยู่ด้านหลังของชุมชนเขารูปช้าง
2 ที่เป็นที่ดินเอกชน ทำให้ชาวชุมชนเขารูปช้าง 2
ต้องไปขอต่อพ่วงซื้อน้ำกับบ้านในที่ดินเอกชนราคาแพง (หน่วยละ 20 – 30 บาท)
นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่หน่วยงานรัฐปฏิบัติชาวชุมชนที่อยู่ในที่ดินของการรถไฟฯในยุคเก่าก่อน
สมาชิกของเครือข่ายอาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นสมาชิกของเครือข่ายสิทธิชุมชนใต้ และเข้าเป็นสมาชิกของเครือข่ายสลัม
4 ภาค ในปี 2552 ได้ร่วมผลักดันเชิงนโยบายที่จะแก้ปัญหาที่ดินรูปธรรมความสำเร็จคือ
มีมติคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543
ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟฯ ดังนี้
1.
กรณีชุมชนที่อาศัยในพื้นที่การรถไฟในบริเวณที่ห่างจากรางรถไฟเกิน
40 เมตร และที่ดินที่การรถไฟฯเลิกให้ในกิจการเดินรถ
และยังไม่อยู่ในแผนแม่บทที่จะใช้ประโยชน์
ให้ชุมชนได้ทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี
โดยให้การรถไฟฯ
และชาวชุมชนร่วมกันจัดผังการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อนจะมีการทำสัญญาเช่า
2.
กรณีชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมทางรถไฟในรัศมี
40 เมตร
จากศูนย์กลางรางรถไฟ
ให้ชุมชนได้ทำสัญญาเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นระยะเวลาครั้งละ 3 ปี
เมื่อครบอายุสัญญาให้ต่อสัญญาเช่าได้อีกครั้งละ 3 ปี
จนกว่าการรถไฟฯจะมีโครงการใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในการเดินรถ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หรือมีแผนดำเนินงานที่ชัดเจนแล้วจึงไม่ต่อสัญญา และการรถไฟฯจะหาที่รองรับที่อยู่ห่างจากเดิมภายในรัศมีไม่เกิน
5 กิโลเมตร
ในระหว่างการเช่า
การรถไฟฯจะอนุญาตให้หน่วยงานเข้าบริการและพัฒนาชุมชนได้ เช่น
การไฟฟ้าและการประปาสามารถปักเสาพาดสายและวางท่อเข้าชุมชนได้ ให้การเคหะแห่งชาติ หรือ
หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนได้เข้าปรับปรุงชุมชนได้ ทั้งนี้ชุมชนต้องร่วมมือกับการรถไฟฯ ในการจัดการพื้นที่ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย
3.
กรณีชุมชนที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่การรถไฟฯที่มีรัศมี
20 เมตร
ถ้าการรถไฟฯเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยในระยะยาว ให้การรถไฟฯจัดหาที่รองรับให้เช่าภายในรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่อยู่อาศัยเดิม โดยมีคณะกรรมการร่วมดำเนินการจัดพื้นที่รองรับ
4.
ให้ตัวแทน “เครือข่ายสลัม 4 ภาค”
มีส่วนร่วมกับการรถไฟฯในการยกร่างสัญญาเช่าที่ดินและพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าที่เหมาะสมและเป็นธรรม
มติดังกล่าวไม่ใช่เพียงแต่เป็นการตกลงกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับเครือข่ายสลัม
4 ภาค เท่านั้น หากยังแต่มีกระทรวงคมนาคม
ผู้แทนรัฐบาลรับรู้ในข้อตกลงดังกล่าวด้วยเช่นกัน
จากมติบอร์ดดังกล่าวได้เป็นใบเบิกทางการเข้าถึงที่ดินในเมืองของชาวเครือข่ายสงขลาสามัคคี ในปัจจุบันสมาชิกของเครือข่ายสงขลาสามัคคีได้ทำการเซ็นสัญญาเช่ากับทางการรถไฟฯแล้วจำนวน
10 ชุมชน คือ ชุมชนเกาะเสือ 1 , ชุมชนเขารูปช้าง 1 , ชุมชนเขารูปช้าง 2 ,
ชุมชนเขารูปช้างอิสระ , ชุมชนศาลาเหลือง , ชุมชนสมหวัง , ชุมชนกุโบร์ ,
ชุมชนศาลาหัวยาง , ชุมชนหัวป้อม 3 โซน 6 และชุมชนร่วมใจพัฒนา โดยส่วนใหญ่ได้สัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี
เพราะเป็นเนื้อที่ที่การรถไฟฯยกเลิกการเดินรถไปแล้ว สมาชิกราว 2,000 ครอบครัว
ทุกชุมชนกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค
จัดสร้างปรับปรุงที่อยู่อาศัยใหม่ ให้ดีขึ้น
อีกทั้งยังมีแผนงานข้างหน้าในงานเชิงพัฒนาคุณภาพชีวิต
ในวันที่ 5 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
ได้มีการประชุมอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม
โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เป็นประธานในที่ประชุม
ซึ่งเป็นอนุกรรมการที่ตั้งมาจากคณะกรรมการชุดใหญ่
“คณะกรรมการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม” ที่มีเครือข่ายสลัม 4
ภาค เป็นคณะกรรมการด้วยเช่นกัน
หนึ่งในวาระการหารืออนุกรรมการฯวันนั้นได้มีการหยิบยกเรื่องการฟื้นการเดินรถไฟเส้นทางหาดใหญ่
สู่ เมืองสงขลา อีกครั้ง เป็นระยะทาง 29 กิโลเมตร คาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณราว
5,000 ล้านบาท
ด้วยเหตุผลจากทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
การคมนาคมจากหาดใหญ่ไปเมืองสงขลาเกิดปัญหาการจราจรทางถนนติดขัดมากในชั่วโมงเร่งด่วน
จึงจำเป็นที่จะต้องรื้อฟื้นระบบรางมาแก้ปัญหาดังกล่าว อีกทั้งทางท้องถิ่นจังหวัดสงขลาเองก็มีความประสงค์ต้องการเช่นเดียวกันเพราะจะต้องรับมือการเป็นประเทศในประชาคมอาเซียน
(AEC) ที่เมืองหาดใหญ่ หรือจังหวัดสงขลา
ถือเป็นประตูต้อนรับในส่วนของประเทศที่อยู่ในภูมิภาคด้านทิศใต้ของไทย โครงการฟื้นระบบการเดินรถไฟชานเมืองหาดใหญ่ –
สงขลา จึงใกล้ความเป็นจริงที่จะกลับมาเดินรถใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ชาวเครือข่ายสงขลาสามัคคี
ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากโครงการฟื้นการเดินรถไฟหาดใหญ่ – สงขลา แต่ก็ไม่ได้จะคัดค้านการดำเนินโครงการดังกล่าวเพราะเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาการจราจรของเมืองสงขลา
หากแต่จะนำเสนอการแก้ปัญหาทางเลือกของการดำเนินโครงการดังกล่าวคือในเบื้องต้นจะต้องมีการนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจน
และเปิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดรูปแบบการก่อสร้าง ขอบเขตการก่อสร้าง อันที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชน อีกทั้งข้อสังเกตต่างๆในโครงการนี้ที่จะมาสร้างสถานีใหม่บริเวณชุมชนศาลาหัวยาง
แต่จะไม่ไปต่อจนถึงสถานีเดิมเพราะเหตุว่ามีโรงแรมใหญ่มาบุกรุกเขตทางขวางไว้อยู่หรือไม่
หรือว่าเป็นเพราะสถานีในปัจจุบันได้ให้นายทุนใหญ่ได้เช่าบริหารที่ดินกำลังได้กำไรงดงาม ทางการรถไฟฯและจังหวัดสงขลาจึงไม่กล้าที่จะทำการเดินรถไปถึงที่ทำการสถานีเดิม
สิ่งก่อสร้างของโรงแรมชื่อดังในสงขลารุกล้ำที่การรถไฟ
ส่วนการหาทางออกนั้นจะต้องมีทางออกที่ชุมชนรับได้
ชุมชนมีส่วนร่วมในการนำเสนอทางออกทางเลือก โดยที่ไม่ต้องย้ายที่อยู่อาศัยออกนอกเมือง เพราะในตัวเมืองสงขลาเองมีที่ว่างเปล่ารกร้างอีกจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นที่รัฐ หรือที่เอกชน ก็ตาม
แต่ข้อเสนอในเบื้องต้นของภาครัฐไม่ว่าทางจังหวัดสงขลาเอง
หรือการรถไฟฯเอง ที่มีพยายามจะโยกย้ายชาวชุมชนไปนอกเมืองไม่ว่าจะเอาไปไว้ที่บ้านคลองแห
หรือบ้านฉลุง
ที่อยู่นอกตัวเมืองสงขลาหลายสิบกิโล
นี่คือบทพิสูจน์ของหน่วยงานรัฐและรัฐบาล จากงบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท
ที่กำลังจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร
และคาดการณ์ว่าจะเป็นงบประมาณที่จะมาดำเนินงานโครงการรื้อฟื้นการเดินรถไฟหาดใหญ่
– สงขลา ยังคงมีคำถามสำคัญอีกหลายคำถามที่จำเป็นต้องตอบสังคมก่อน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเงินกู้นั้นจะเป็นที่ไหน และมีเงื่อนไขในการกู้อย่างไร
เพราะเนื่องจากเป็นการกู้เงินก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศเท่าที่เคยกู้มา เพราะเพียงแค่กู้ IMF
จำนวนน้อยกว่านี้มากนักยังได้รับเงื่อนไขที่จะต้องถีบส่งคนจนออกจากการดูแลของรัฐบาลหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการนำมหาลัยออกนอกระบบ , การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
นโยบายผลักภาระให้กับประชาชนจะมีหรือไม่กับการกู้เงินก้อนยักษ์ครั้งนี้
ที่สำคัญการนำงบประมาณมาดำเนินโครงการจะมีการกล่าวถึงผลกระทบด้านชุมชนที่ได้กล่าวมาข้างต้นด้วยหรือไม่ การคุ้มทุนในการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นมองรอบด้านเพียงใด
ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรัฐบาล
เครือข่ายสงขลาสามัคคี เครือข่ายสิทธิชุมชนภาคใต้
และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ยังคงติดตามการดำเนินโครงการนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อร่วมขอแสดงความเห็นที่เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาต่อรัฐบาล
เพื่อจะให้คนจนเมืองมีพื้นที่ที่อยู่อาศัยในเมือง
ดังที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเมืองกันมาตั้งแต่ในอดีต