ปากท้องของคนจนและการเมืองภาคประชาชน
อัพยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
1...
เช้าวันฝนพรำในต้นเดือนพฤษภาคม
ประตูสำนักงานค่อยๆแง้มเปิดในขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อละสายตาจากหน้ากระดาษและเงยหน้าขึ้น ผมจึงเห็นชายชราวัยเกือบเจ็ดสิบเดินสาวเท้าเข้ามา ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่นไกล หากคือ...ลุงนาค ลือบางใหญ่
มิตรอาวุโสที่เคยร่วมงานกันมานั่นเอง
ผมรู้จักกับลุงนาคเมื่อราว 15 ปี
ที่แล้ว
ในช่วงนั้นผมเทียวมุดเข้ามุดออกอยู่ตามใต้สะพานต่างๆเพื่อทำงานมวลชนกับคนใต้สะพานที่กำลังถูกไล่รื้อจากทางกรุงเทพมหานคร จึงทำให้เจอลุงนาคที่สะพานโกบ๊อ
จากนั้นปรากฏการณ์ลุกขึ้นสู้ของพี่น้องใต้สะพานกว่า 60 แห่ง
ทั่วกรุงเทพฯในนาม “กลุ่มพัฒนาชุมชนใต้สะพาน”
ที่มีลุงนาคเป็นหนึ่งในแกนนำ ก็ทำให้ทางราชการต้องหยุดการไล่รื้อและยินยอมให้ชาวบ้านเลือกพื้นที่รองรับเองโดยกระจายไปใน
3 โซน สำหรับลุงนาคนั้น ได้ร่วมกับชาวใต้สะพานย่านฝั่งธนฯเลือกที่ดินบริเวณประชาอุทิศ
76 เขตทุ่งครุ เป็นถิ่นฐานที่อยู่อาศัยใหม่
หลังจากทักทายลุงนาค เชื้อเชิญให้นั่งและชวนดื่มกาแฟแล้ว ผมก็ไถ่ถามลุงว่า “ไปไงมาไงถึงได้มานี่”
ลุงนาคถอดหมวกที่เปรอะปนด้วยคราบฝุ่นออกวางแล้วตอบว่า “เอาซาเล้งมาหาของเก่าแถวนี้
พอดีฝนตกเลยแวะมาหลบก่อน” ผมบอกลุงนาคว่า “ทำตัวตามสบายนะลุง นั่งเล่นหรือนอนพักก่อนก็ได้” ลุงนาคกล่าวขอบใจแล้วบอกว่า “ฝนหยุดคงต้องไปแล้ว
ต้องรีบหาของ
เดี๋ยวนี้หายากคนเก็บกันเยอะ
วันหนึ่งขายได้ไม่ถึงสองร้อยเลย”
ระหว่างที่ลุงนาคเดินไปชงกาแฟ ผมพยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่ลุงพูด ในใจอดรู้สึกไม่ได้ว่า
ลุงอายุปูนนี้แล้วยังต้องใช้ชีวิตอย่างกรรมาชีพขนานแท้อยู่อีก
ดูเหมือนจะไม่มีสวัสดิการสังคมใดๆจากรัฐที่แรงงานนอกระบบอย่างลุงจะเข้าถึงได้เลย นอกจากนี้สิ่งที่ลุงเอ่ยยังสะท้อนชัดถึงความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อคนจน ดังนั้นเพื่อให้ได้รายละเอียดมากขึ้น
ผมจึงขอให้ลุงนาคบอกเล่าถึงปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องในชุมชน
สิ่งที่ผู้นำสูงวัยท่านนี้เพิ่มเติมให้ฟังคือ “ตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก ของกินของใช้แพงขึ้นทุกอย่าง โดยเฉพาะข้าวแข็งปาเข้าไปกิโลละเกือบ 40
แล้วจากเมื่อปีก่อนแค่โลละไม่ถึง 20 บาท
ของอื่นๆก็แพงขึ้นทั้งน้ำมัน ก๊าซ ไข่สมัครลูกกะติ๊ดเดียวตั้ง 4 บาท แล้วคนจนจะไปไหวหรือ ตอนนี้ในชุมชนบางคนกินข้าวไม่ครบ 3 มื้อ บางวันตอนเย็นไม่ได้กินข้าวนี่มีแล้วนะ”
“นี่ขนาดอดข้าวเย็นเลยเหรอลุง”
ผมแทรกขึ้นหลังจากฟังแล้วคิดว่าปัญหามันชักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ลุงนาคตอบกลับว่า “ก็ใช่น่ะสิ เห็นชัดๆคือพวกคนแก่ที่ไม่ได้ทำงาน อย่างเช่นยายเดือน ยายน้อย น่ะ
บางวันลูกหลานหาเงินไม่ได้ก็ต้องอด”
“แล้วชาวบ้านเขาทำยังไงกันล่ะ” ผมถาม “จะทำไง ก็บ่นกัน โวยกัน ในชุมชนน่ะสิ” ลุงนาครีบบอก
ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากลุงนาคพูดจบ
จากนั้นก็เกิดความรู้สึกแบบว่าโชคช่วยขึ้นมา ทั้งนี้เพราะเครือข่ายภาคประชาชนที่ติดตามภาวะข้าวยากหมากแพง กำลังเตรียมแผนการเดินรณรงค์เรื่องนี้ต่อรัฐบาลและสาธารณชนในวันที่
20 พฤษภาคม เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ซึ่งเป็นขบวนการของคนยากจนในเมือง
ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่จะเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ดังนั้นการแวะมาของอดีตผู้นำชาวใต้สะพาน
พร้อมๆกับเรื่องราวปัญหาปากท้องของชาวบ้าน จึงทำให้ผมฉวยจังหวะชักชวนลุงนาคให้มาร่วมงาน ด้วยการให้ลุงไปกระตุ้นมวลชนในชุมชนซึ่งกำลังเดือดร้อนในเรื่องวิกฤตสินค้าแพง ให้ออกมารณรงค์ปัญหาร่วมกัน
“เอาไหมลุง” ผมถาม “ชวนกันมาบ่นด้วยกันที่หน้าทำเนียบดีกว่ามั้ง เสียงบ่นของเราจะได้เป็นเสียงประชาชน ไม่ใช่เป็นเสียงนกเสียงกาอยู่ตามชุมชน” ผมย้ำ
“จะลองดู คิดว่าชาวบ้านคงเอา มันเดือดร้อนกันมาก แต่ให้คนไปช่วยด้วยแล้วกัน” ลุงนาคสรุป
พอฝนเริ่มหยุด ลุงนาคก็เตรียมตัวออกหาของ ผมขอบคุณในการมาเยือนของลุง
ซึ่งนอกจากจะได้พบปะพูดคุยกันแล้วยังได้มิติเรื่องงานด้วย และเมื่อนึกขึ้นได้ถึงความลำบากที่ลุงเล่าในตอนแรก ผมจึงเอ่ยว่า “หนังสือพิมพ์ที่นี่เดิมเตรียมไว้บริจาคให้กลุ่มขยะรีไซเคิลเพื่อขายหาเงินเข้าสลัม
4 ภาค แต่เห็นลุงแย่ๆ เอาไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมช่วยขน”
ขนหนังสือพิมพ์เก่าใส่ซาเล้งเสร็จ ลุงนาคจึงกล่าวคำลาพร้อมๆกับบอกว่า “แล้วเจอกันวันที่
20”
2...
สายๆของวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 ผู้ชุมนุมประมาณ 700 คน
รวมตัวกันอยู่บริเวณด้านข้างของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในจำนวนนี้กว่าครึ่งเป็นพี่น้องชาวสลัม ซึ่งรวมถึงชาวบ้านเกือบ 40 คน
ที่ลุงนาคพามาตามสัญญา ที่เหลือเป็นมวลชนภายใต้การนำของ
“คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย” อันประกอบด้วย สหภาพแรงงาน
พนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงผู้ใช้แรงงานนอกระบบ
ที่ทนไม่ได้แล้วกับภาวะค่าครองชีพสูงและสินค้าราคาแพง
ในระหว่างจัดทัพปรับขบวนก่อนออกรณรงค์ ผมเดินดูบรรยากาศรอบๆ เห็นป้ายคำขวัญ “ข้าวเปลือกถูก ข้าวสารแพง
ค่าแรงต่ำ ประชาชนตาย” เด่นสะดุดตา
ผู้ประท้วงหลายคนนำเอาหม้อเอากระทะมาชูแกว่งไกวอยู่หน้าขบวน ขณะที่โฆษกบนรถเวทีย้ำประกาศว่า “หม้อกระทะที่พี่น้องนำมานี้ไม่ได้เอามาโชว์เพื่อประกอบรายการชิมไปบ่นไป แต่เอามาเพื่อให้นายกดูว่าคนจนนั้นไม่มีอะไรจะให้กรอกหม้ออยู่แล้ว”
ข้อมูลของเครือข่ายประชาชนที่รวบรวมสำรวจราคาสินค้าพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
5 อย่าง อันได้แก่ ข้าวสาร น้ำตาล
น้ำมันพืช ไข่ไก่ และก๊าซหุงต้ม พบว่าในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาราคาสินค้าที่จำเป็นเหล่านี้ได้พุ่งสูงขึ้น
80 – 100 เปอร์เซ็นต์
ในขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น
ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบเท่าตัว
การณ์กลับปรากฏว่าค่าแรงขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงานถูกปรับขึ้นเพียง 2 – 11 บาท ต่อวัน
ซึ่งไม่ทันกับอัตราเงินเฟ้อที่ขณะนี้ขยับขึ้นไปถึง 6 เปอร์เซ็นต์แล้ว
นอกจากนี้มาตรการของรัฐบาลในการบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องอาหารแพง
ก็เข้าไม่ถึงคนจนอย่างแท้จริงและเป็นเพียงการสร้างภาพดังแถลงการณ์ของเครือข่ายประชาชนที่ระบุว่า
“ดังที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงการจำหน่ายข้าวถุงธงฟ้า 3 แสนถุง 1,500,000 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนที่อยู่ในเส้นความยากจนจำนวน
9.55 เปอร์เซ็นต์ หรือ 6.06 ล้านคน ก็จะได้รับเพียง 250 กรัม หรือ 2
ขีดครึ่งต่อคน
หรือหากจะเปรียบเทียบกับประชากรทั้งประเทศก็จะได้รับเพียง 23
กรัมต่อคน
ซึ่งจะเท่ากับข้าวสุกไม่ถึงหนึ่งถ้วย”
ภาวะข้าวยากหมากแพงดังกล่าว พิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวของหลักการค้าแบบ
“เศรษฐกิจเสรี”
ซึ่งท้ายสุดแล้วก็เป็นแค่วาทกรรมของผู้กดขี่
ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่สามารถนำไปสู่ความอยู่ดีกินดีของคนส่วนใหญ่ได้
ตรงกันข้ามสิ่งที่เราได้เห็นภายใต้ระบบการค้าเสรีที่ชอบอ้างกลไกราคาตามตลาด ก็คือการบิดเบือนราคา ดังตัวอย่างเรื่องข้าวที่ขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นด้วยเหตุหลายปัจจัย แต่ชาวนาผู้ผลิตข้าวในประเทศไทยกลับถูกกดราคารับซื้อข้าวเปลือก
ขายข้าวได้ในราคาต่ำจนต้องปิดถนนประท้วงกัน
กลไกราคาข้าวเปลือกที่ถูกบิดเบือนให้ต่ำลง ได้ถูกแปลงไปเป็นกำไรอันมหาศาลที่กลุ่มพ่อค้าคนกลางได้รับจากการขายข้าวสารราคาแพงให้กับผู้บริโภค
ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่านี้
คือมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเดินขบวนของเครือข่ายประชาชนกลุ่มต่างๆไปยังทำเนียบรัฐบาล
เพื่อแถลงต่อสื่อมวลชนและยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้นำประเทศในประเด็นปัญหา “ข้าวยากหมากแพง”
3...
ข้อเสนอของเครือข่ายภาคประชาชนครอบคลุมตั้งแต่ การควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นอาทิ
ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช
น้ำตาล ก๊าซหุงต้ม
การกระจายสินค้าราคาต่ำให้ถึงมือคนจนทุกกลุ่มโดยผ่านช่องทางและกลไกขององค์กรประชาชน
เช่น สหภาพแรงงาน สหกรณ์
ร้านค้าของกลุ่มองค์กรชุมชน
การปรับค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันซึ่งควรจะปรับเท่ากันทั่วประเทศ
การคุ้มครองแรงงานนอกระบบให้ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมและเข้าถึงสวัสดิการสังคม
รวมถึงการดูแลภาคการผลิตของเกษตรกรด้วยการประกันราคาข้าวเปลือกและผลผลิตการเกษตรทุกชนิด
อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดเดาได้ไม่ยากว่า ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้จะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาล
ทั้งนี้เพราะบรรดานักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มักอ้างตนว่ามาจากคะแนนเสียงส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า 19 ล้านเสียงบ้าง 16 ล้านเสียงบ้าง
ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตามข้อเสนอเชิงโครงสร้างของเครือข่ายประชาชนที่มีมวลชนจำนวนเพียงหยิบมือ แม้ว่าข้อเสนอเหล่านั้นจะมีตรรกะเหตุผล มีความชอบธรรมเพียงใดก็ตาม ในท้ายสุดเมื่อไม่มีผู้แทนรัฐบาลในระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องออกมารับหนังสือ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่คนยากคนจนจะกระตุ้นสำนึกของรัฐบาลด้วยการปาหม้อ ปากระทะ
พร้อมทั้งจดหมายข้อเรียกร้องเข้าไปในทำเนียบ
เมื่อรัฐบาลเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
แล้วอะไรล่ะที่เป็นความน่าสนใจของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ในทัศนะของผม
คำตอบน่าจะอยู่ที่การขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนในแนวนอน
การนำเสนอเรื่องราวปัญหาเศรษฐกิจพร้อมข้อเสนอต่อสาธารณชนผ่านสื่อสารมวลชน ประสบความสำเร็จพอสมควร
หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับลงตีพิมพ์ข่าวนี้
ไม่นับทีวีหลายช่องที่ออกอากาศฉากที่ทั้งหม้อและกระทะลอยเข้าไปในทำเนียบ นอกจากนี้แล้วการหันหน้าเข้าหากันของเครือข่ายคนจนกลุ่มต่างๆเพื่อวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน ออกแบบการทำงานร่วมกัน
เชื่อมสายสัมพันธ์และมีปฏิบัติการทางสังคมร่วมกัน
ก็ถือเป็นคุณูปการสำคัญอีกอย่างของการเมืองในแนวนอน
คนสลัมที่รับงานมาทำที่บ้าน
เริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนกว่า 23
ล้านคน
ซึ่งเครือข่ายคนงานนอกระบบกำลังผลักดันให้คนเหล่านี้เข้าถึงการประกันสังคม
ชาวนาในภาคเกษตรกำลังศึกษาถึงต้นทุนในการค้าขายทางตรงกับผู้บริโภคในเมือง เป็นไปได้ว่าภายใน 6 เดือนข้างหน้า
จะมีการนำข้าวสารจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินในพื้นที่อีสานมาจำหน่ายตรงแก่ชาวสลัมและกรรมกร
โดยอาจประสานกับสหภาพการรถไฟฯเพื่อใช้ขบวนรถไฟในการลดต้นทุนการขนส่ง นอกจากข้าวแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก เช่น
น้ำตาลอ้อย ยาสูบ พริกแห้ง ถ่านหุงข้าว
ถ้าหากจะพูดในเชิงความสมานฉันท์แล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ก็ทำให้พี่น้องสลัม กรรมกร
และชาวนาใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ผู้นำจากแต่ละเครือข่ายมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น
อีกทั้งมีการวางแผนติดตามการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่
การขยายฐานมวลชนผู้เข้าร่วม
กิจกรรมรณรงค์ปัญหาสินค้าแพง
การจัดเวทีวิชาการ
ไปจนถึงการทวงถามการแก้ปัญหาของรัฐบาลในวันที่ 24 มิถุนายน 2551
ผมคิดว่าการเมืองภาคประชาชนแบบนี้แหละ
ที่น่าจะเป็นความหวังและทางออกของคนยากจน
ทั้งในแง่ของการเชื่อมประสานถักทอพลัง
การค้นคว้าออกแบบทางเลือกทางเศรษฐกิจของคนจน
รวมถึงการหล่อหลอมสำนึกในความเป็นชนชั้นผู้เสียเปรียบร่วมกัน
การเมืองภาคประชาชน
จะต้องเป็นการเมืองที่เอาวาระของผู้ยากไร้เป็นตัวตั้งและมีปฏิบัติการเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระยะยาว ไม่ใช่การเมืองแบบ 2 ขั้วอำนาจที่กำลังเผชิญหน้ากันในปัจจุบัน
ซึ่งท้ายสุดแล้วมวลชนผู้เข้าร่วมก็เป็นได้แค่ไพร่พลในการปกปักรักษาสถานะและอำนาจของชนชั้นนำทั้งของกลุ่มทุนเก่าและทุนใหม่ ที่กำลังแตกหักขัดแย้งกันเอง.