ระบบรัฐราชการที่ล้าหลัง
พาประชาชนทยอยตาย
โดย คมสันติ์
จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค
การปฏิบัติการพิเศษ
3 วัน มี 16 ทีมของแพทย์ชนบทและร่วมกับโรงพยาบาลต่างๆจากต่างจังหวัด
ลงมือ swab ผู้คนด้วย Rapid Ag Test เมื่อผลเป็นบวกจะได้ทำ
rtPCR ให้ทันที และนำเข้าระบบ Home Isolation โดยเข้าถึงชุมชนทั้งสิ้น 40 จุด ตรวจได้จำนวน 31,518
ราย ผลพบว่า เจอผู้ติดเชื้อโควิดถึง 5,086 คน
หรือมีผลบวกถึง 16.14% ถือว่าสูงมาก อัตราการทำ rtPCR เกิน 100% เพราะบางรายมีผล
rapid test แล้วหาที่ทำ rtPCR ไม่ได้
เลยต้องมาขอต่อคิวทำ rtPCR ในการปฏิบัติการครั้งนี้ (ข้อมูลจาก
แฟนเพจ : ชมรมแพทย์ชนบท)
แน่นอนกระบวนการหน้าบ้านคือบุกเชิงรุกเข้าตามจุดชุมชนต่างๆ
และยังมีหลังบ้านคือกลุ่มแพทย์ พยาบาล อาสา
ที่คอยรับผู้ป่วยที่อยู่ในระดับขั้นสีเหลือง สีแดง ที่จะให้คำปรึกษาการปฏิบัติตัว หรือแม้กระทั่งวินิจฉัยจ่ายยาให้ตามอาการอีกด้วยในระบบออนไลน์ที่เชื่อมประสานกันระหว่าง
หน้าบ้าน ถึงหลังบ้าน โดยอาสาสมัครแพทย์ พยาบาล จะติดต่อไปพูดคุยสอบถามอาการหลังจากทราบผลไม่เกิน
๑ ชั่วโมง แล้วจะนำข้อมูลอาการผู้ติดเชื้อไปหารือต่อกับแพทย์ โดยกระบวนท้ายสุดนี้อาจจะต้องใช้เวลาเนื่องจากพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก
แต่จำนวนแพทย์อาสามีจำกัด ซึ่งจะตอบกลับอีกราว ๑ - ๒ ชั่วโมง
เพื่อแจ้งต่อผู้ติดเชื้อว่าต้องกินยาแบบไหน หรือไม่จำเป็นต้องกินยา
สามารถกลับบ้านไปกักตัวได้เลยในระบบ Home Isolation ได้ทันที เพราะมีอาสาสมัครหน้างานคอยกรอกข้อมูลให้ทันทีที่ทราบผล
ความพยายามข้างต้นที่เล่าถึงมาแสดงให้เห็นน้ำจิต
น้ำใจ อันมากล้นของประชาชนคนไทยที่หลั่งไหลมาช่วยเหลือกันในยามสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้
แต่หากมองไปอีกมุมที่กลับกันเหตุการณ์นี้ทำไมต้องมาเกิดในสังคมไทย ภาพผู้คนดิ้นรนหาที่ตรวจเชื้อ
ภาพผู้คนนอนป่วยไร้คนดูแล จนกระทั่งถึงภาพผู้คนที่เสียชีวิตข้างถนนไร้คนเหลียวแล
ซึ่งสังคมได้ตัดสินไปแล้วว่ามันเกิดมาจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลที่ประมาทต่อการโรคระบาดครั้งนี้
นิ่งนอนใจไม่ตัดสินใจสั่งวัคซีนที่มีคุณภาพเข้าประเทศตั้งแต่แรก รวมไปถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่ก้ำกึ่งเพราะเกรงว่าจะต้องจ่ายเงินเยียวยาประชาชน
กระทั่งระบบการรับตัวคนผู้ป่วยติดเชื้อยังเป็นระบบราชการที่ล้าหลัง
ไม่ทันต่อสถานการณ์ ถึงแม้ประชาชนรู้ตัวเองว่าติดเชื้อโควิด๑๙ จากการตรวจแบบ Rapid Ag Test แล้วมีอาการไม่สู้ดีอยู่ในกลุ่มสีแดง แพทย์ลงความเห็นว่าต้องรีบนำเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยด่วนก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจาก
“ระบบ” ที่วางไว้ว่าประชาชนจะต้องมีผลตรวจด้วยวิธีการ rtPCR
เท่านั้น ซึ่งวิธีการนี้ผลจะออกมาได้ต้องใช้เวลาประมาณ ๔๘ ชั่วโมง
ดังเช่นเคสกรณีผู้ป่วยรายหนึ่งค่าออกซิเจนในเลือดเหลือเพียง ๖๕
(โดยปกติแล้วต่ำกว่า ๙๕ ให้ถือว่าเริ่มผิดปกติ) เจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวันไปถึงบ้านแต่ไม่สามารถรับตัวไปส่งต่อโรงพยาบาลได้เพราะแจ้งว่าไม่มีผลแลป
rtPCR ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับ และได้ติดต่อไปยังกองควบคุมโรคติดต่อ
กรุงเทพมหานคร ก็ได้คำตอบที่เป็นคำถามเช่นเดิมคือผู้ป่วยมีผลแลป rtPCR หรือไม่ เนื่องจากผู้ป่วยท่านนี้ได้เข้ารับการตรวจ Rapid Ag Test และทางแพทย์ได้ประเมินแล้วว่าอยู่กลุ่มสีเหลือง สั่งจ่ายยาไปเมื่อวันที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แต่อาการมาป่วยหนักในวันถัดมา เขาไม่สามารถใช้ผลตรวจแบบ Rapid
Ag Test เพื่อนำตัวเองไปรักษาในโรงพยาบาลได้เลย โดยอ้างว่า “ผู้ใหญ่ให้นโยบายมาแบบนี้ไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆ”
ภาพผู้ป่วยที่รอการเข้ารักษาแต่ไม่มีผลแลป rtPCR
หากรัฐบาลยังคงทำตัวทองไม่รู้ร้อน
เห็นการเสียชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องปกติ ถือว่าเป็นการ “สมรู้”
ในการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ของประเทศไทย
หากแม้ความสามารถการนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพต่อสถานการณ์ปัจจุบันยังทำได้ด้วยความล่าช้า
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าควรจะมีวิสัยทัศน์แก้ปัญหาที่ต้องมองข้ามระเบียบ ระบบ
ราชการที่ล้าหลังออกไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลนี้จะมีเพียงความกระสันอยากมีแต่อำนาจ
แต่ไม่มีกึ๋นที่จะบริหารอำนาจที่มีให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุขได้
ก็คงรอเพียงเวลาที่ประชาชนทุกสาขาอาชีพที่ถูกรัฐบาลกระทำลุกขึ้นมาทวงอำนาจกลับคืน