การพัฒนาประเทศ : การรับผิดชอบผลกระทบต่อคนจนของรัฐบาล
(ตอนที่ 1)
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในช่วงเวลานี้ผู้เขียนได้ร่วมเวทีการสมัชชาใหญ่ของเครือข่ายองค์กรชาวบ้าน
“เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์” ซึ่งเป็นองค์กรชาวบ้านที่อยู่ในจังหวัดขอนแก่น
และเป็นหนึ่งในเครือข่ายสมาชิกของเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในเวทีสมัชชาใหญ่นี้เองเป็นเวทีที่ต้องมาสรุปกิจกรรมที่ผ่านมาตลอดปีของเครือข่ายเอง พร้อมทั้งมาร่วมวางแผนการทำงานในปีถัดไป
เครือข่ายฟื้นฟูฯเองมีความพิเศษตรงที่ชุมชนสมาชิกของเครือข่ายเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งหมดจำนวน
14 ชุมชน ดังนี้
ลำดับ
|
ชุมชน
|
จำนวนครอบครัว
|
เทศบาลตำบล
|
1
|
รอบเมือง
2
|
38
|
เมืองเก่า
|
2
|
รอบเมือง
2 โซน 2
|
51
|
เมืองเก่า
|
3
|
พัฒนาเทพารักษ์
1
|
20
|
นครขอนแก่น
|
4
|
พัฒนาเทพารักษ์
2
|
21
|
นครขอนแก่น
|
5
|
พัฒนาเทพารักษ์
3
|
40
|
นครขอนแก่น
|
6
|
เทพารักษ์
2
|
68
|
นครขอนแก่น
|
7
|
เทพารักษ์
5
|
85
|
นครขอนแก่น
|
8
|
โนนหนองวัด
2 (ริมราง)
|
41
|
นครขอนแก่น
|
9
|
พรสวรรค์
|
30
|
นครขอนแก่น
|
10
|
หลักเมือง
|
70
|
นครขอนแก่น
|
11
|
เหล่านาดี
12
|
151
|
นครขอนแก่น
|
12
|
หนองแวงตาชู
(ใหม่)
|
148
|
ศิลา
|
13
|
หลังศูนย์พัฒนาที่ดิน
โซน 3
|
40
|
ศิลา
|
14
|
หลังศูนย์พัฒนาที่ดิน
โซน 1
|
20
|
ศิลา
|
|
จากสถานการณ์ที่มีความต้องการพัฒนาประเทศในปัจจุบันนี้เองทำให้เครือข่ายฟื้นฟูฯจำเป็นต้องระดมมันสมองกันอย่างเข้มข้น เนื่องจากการพัฒนาในด้านระบบคมนาคมระบบรางกำลังเป็นที่จับตาและเป้าหมายแรกๆที่รัฐบาลจะดำเนินการก่อน
ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วง จิระ – ขอนแก่น หรือ
โครงการก่อสร้างทางรถไฟรางมาตรฐาน (ความเร็วสูงเดิม) จาก กรุงเทพฯ – หนองคาย ทั้ง
2 โครงการนี้เองเป็นเหคุผลที่ชาวเครือข่ายฟื้นฟูฯจำเป็นต้องมาร่วมออกแรงทั้งทางความคิด
และพละกำลังกาย
หากจะย้อนเวลากลับไป
เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ ได้ร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ในการผลักดันการปฏิรูปที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยมาเป็นที่อยู่อาศัยของคนจนได้สำเร็จ จากที่คณะกรรมการรถไฟฯได้มีมติในวันที่ 13
กันยายน 2543 ซึ่งมีเนื้อหาถึงพื้นที่การรถไฟฯที่ปล่อยทิ้งร้างไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆสามารถนำมาให้คนจนเช่าราคาถูกเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยให้พ้นจากความเป็นชุมชนแออัด
หรือสลัมได้ โดยเครือข่ายฟื้นฟูฯ
ก็ได้นำมติดังกล่าวมาขับเคลื่อนจนสามารถนำพาสมาชิกชุมชนในจังหวัดขอนแก่นและที่ไม่ใช่สมาชิกบางส่วน
รวม 15 สัญญาเช่าแปลงที่ มีชาวบ้านได้รับประโยชน์กว่า 500 ครอบครัว
โดยการเช่าที่ดินชาวชุมชนจะเช่าในพื้นที่ที่วัดจากกึ่งกลางรางออกมา 20 เมตร
ซึ่งเว้นไว้สำหรับการพัฒนาในอนาคต
ถัดจากพื้นที่ดังกล่าวก็จะพัฒนาที่อยู่อาศัยตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคง อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่ได้เป็นพลเมืองชั้นสองอีกต่อไป
ภาพการสมัชชาใหญ่เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ จ.ขอนแก่น
แต่สถานการณ์การพัฒนาระบบรางในปัจจุบันนี้เองที่ทำให้ชาวเครือข่ายฟื้นฟูฯต้องกลับมาอกสั่นขวัญหายกันอีกครั้ง
เพราะมีข่าวจากทางการรถไฟฯถึงการใช้พื้นที่ในการก่อสร้างทั้ง 2 โครงการว่า
อาจจะต้องใช้เนื้อที่ที่วัดออกจากกึ่งกลางรางไปข้างละ 40 เมตร รวม 2 ข้างเป็น 80
เมตร
ส่งผลให้ชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ตามสองข้างทางต้องได้รับผลกระทบทั้งหมดไม่ว่าจะได้เช่าที่ดิน
หรือยังไม่ได้เช่าแล้วก็ตาม
ภาพโครงการบ้านมั่นคงชุมชนหลักเมือง จ.ขอนแก่น หลักจากเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ
ที่ผ่านมาเครือข่ายฟื้นฟูฯและเครือข่ายสลัม
4 ภาค ได้เจรจาถึงแนวทางการแก้ปัญหาโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ จิระ – ขอนแก่น
ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในรัฐบาลที่แล้ว
ซึ่งได้ข้อยุติเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายคือ ชาวบ้านสามารถอาศัยอยู่ในที่ดินเดิมในระยะที่ห่างออกมาจากกึ่งกลางราง
20 เมตร ได้ หากมีบ้านเรือนที่ล้ำไปในเขต 20
เมตรแรกก็จะทำการรื้อขยับปรับเข้ามาอยู่ในเขต 20 เมตรหลัง
ทำให้การก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ จิระ – ขอนแก่น สามารถดำเนินการไปต่อได้ โดยรูปแบบการก่อสร้างที่จะมีการยกระดับรางขึ้นในช่วงที่เข้าตัวเมืองขอนแก่น
ต้องใช้งบประมาณการก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิมที่จะสร้างในรูปแบบเลียบบนดินตามรางเดิมไปอีก
2,000 ล้านบาท
นับว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ถือว่าเยอะเกินไปหากจะต้องมีการขับไล่ชาวบ้านให้ไปอยู่ที่ใหม่ที่ไกลออกไปจากตัวเมืองกว่า
2,000 ครอบครัว ถ้าหากต้องดูจากด้านต่างๆที่ชาวบ้านต้องสูญเสียไป
และรัฐต้องอุดหนุนช่วยเหลือทดแทนด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การหาที่ดินแห่งใหม่ ,
ระบบคมนาคมในพื้นที่แห่งใหม่ , การสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
หรือการลงทุนระบบสาธารณูปโภคในที่ดินแห่งใหม่ด้วยนั้น อีกทั้งยังต้องมีการก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างถนนกับรางรถไฟหลายจุดอีกด้วย
ยังไม่รวมผลที่จะเกิดตามมาของชาวบ้านที่จะต้อง หางานใหม่ , หาที่เรียนให้ลูกใหม่ ,
ต้องเปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ใหม่ หากดูผลกระทบที่ตามมาเหล่านี้
จำนวนเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมาจากการก่อสร้างที่จะไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนเดิมนั้นจึงถือว่ารัฐบาลคุ้มมากนัก
สิ่งที่ตรงกันเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์
และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ไม่ได้มีเจตจำนงที่จะขัดขวางการพัฒนาของประเทศ
หรือจังหวัดขอนแก่น แต่อย่างใด
เพราะที่ผ่านมาการรับผิดชอบต่อผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐส่วนมากคนจนที่เป็นผู้เสียสละให้กับคนกลุ่มต่างๆ กลับไม่เคยได้รับการเหลียวแลมาก่อน
จะดูได้จากงบประมาณโครงการการก่อสร้างขนาดใหญ่ในหลายโครงการส่วนใหญ่จะไม่มีงบประมาณในด้านที่ช่วยเหลือ
ทดแทน ให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ หรือถ้ามีก็ไม่เคยที่จะจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ
แต่นั้นก็เป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในจังหวัดขอนแก่นเพราะโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่จะก่อสร้างด้านฝั่งขวามือเท่านั้น
(หันหน้าไปทางหนองคาย) ส่วนฝั่งซ้ายยังคงสงวนไว้สำหรับการก่อสร้างรถไฟรางมาตรฐานซึ่งรูปแบบการก่อสร้างยังไม่มีข้อยุติว่าจะใช้พื้นที่การก่อสร้างขนาดไหน
นี่คือจุดเริ่มต้นอีกครั้งที่ชาวเครือข่ายฟื้นฟูฯจะต้องระดมสมองในการหาแนวทางการแก้ปัญหากันอีกครั้ง
โครงการก่อสร้างทางรถไฟขนาดทางมาตรฐาน ๑.๔๓๕ เมตร ซึ่งจะนำรถไฟความเร็วระหว่าง
๑๖๐-๑๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือกึ่งความเร็วสูง (Medium-Speed
Rail) มาใช้วิ่งในเส้นทางดังกล่าว
ส่วนอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงสามารถนำรถไฟความเร็วสูง (High-Speed Rail) ที่มีความเร็วกว่า ๒๕๐ กิโลเมตรมาวิ่งในรางรถไฟได้เช่นกัน
แผนผังภาพรวมชุมชนในที่ดินการรถไฟฯในจังหวัดขอนแก่น
ในช่วงรัฐบาลก่อนหน้านี้เคยเสนอรูปแบบการก่อสร้างไว้เป็นโมเดลเดิม ซึ่งมีการคัดค้านในหลายภาคส่วน ในหลายความเห็นที่ยังไม่พร้อมจะดำเนินการ
ไม่ว่าจะเป็นความเห็นของศาลระหว่างการสืบคดีการขอกู้งบประมาณในการก่อสร้างที่ว่า
ควรจะดำเนินการพัฒนาระบบคมนาคมด้านอื่นให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยมาสร้างระบบความเร็วสูงนี้
หรือกลุ่มองค์กรภาคประชาชนกลุ่มต่างๆที่สะท้อนถึงความไม่คุ้มในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในช่วงนั้น
โครงการก่อสร้างรถไฟรางมาตรฐานในครั้งนี้
จึงจะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่ารัฐมีความใส่ใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ในช่วงเวลาที่กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
(สนข.) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการศึกษาการก่อสร้างโครงการนี้ การสร้างการมีส่วนร่วมในทุกส่วน
โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบยิ่งควรจะต้องเปิดโอกาสให้เขาเหล่านั้นได้มีพื้นที่ในการแสดงความเห็น
และเสนอแนวทางเลือกอื่นๆด้วย
แต่ที่ผ่านมาบริษัทที่ปรึกษาโครงการฯที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลราว
200 ล้านบาท ที่จะต้องสร้างกระบวนการเหล่านี้กลับไม่ทำให้เกิดความมีส่วนร่วมจากทุกส่วน
จะเห็นได้จากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 21 มกราคม
2558 ที่ผ่านมา การสื่อสารบอกกล่าวถึงการจัดเวทีประชาชนในจังหวัดขอนแก่นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบกลับไม่ได้รับการติดต่อให้ร่วมเวทีแต่อย่างใด
เครือข่ายฟื้นฟูฯหลังจากที่ได้ทราบข่าวการจัดเวทีดังกล่าวก่อนล่วงหน้า 1 วัน
จึงเร่งรีบประสานผู้แทนชุมชนต่างๆไปเข้าร่วมเวทีนั้นเพื่อแสดงจุดยืนในการหาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน
ฉะนั้นความจริงใจที่จะเปิดโอกาสรับฟังความเห็นอย่างเป็นกลาง และเป็นธรรม
ควรจะเริ่มต้นตั้งแต่ในช่วงที่ศึกษา
ไม่เช่นนั้นแล้วความเข้าใจที่ไม่ตรงกันอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการก่อสร้างก็เป็นได้
การพัฒนาที่มีความจริงใจและโปร่งใส
พร้อมที่จะให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี
หากแต่การพัฒนาโครงการใดๆที่ไม่มีความจริงใจและไม่โปร่งใสก็ย่อมที่จะเห็นประชาชนออกมาสร้างเวทีแสดงความเห็นของตนเอง นี่คืออีกหนึ่งบททดสอบความจริงใจของรัฐที่มีความรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดกับประชาชน
............