อนุมัติเงินกองทุนที่อยู่อาศัย
6,000 ล้านบาท : บทพิสูจน์ความจริงใจรัฐบาลอภิสิทธิ์
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ภาพข่าวการลงชุมชนคลองบางบัวและการแถลงถึงการสนับสนุนงบประมาณสินเชื่อด้านที่อยู่อาศัยแก่ชาวชุมชนแออัดจำนวน
1,000 ล้านบาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น
อาจทำให้สาธารณชนทั่วไปรู้สึกได้ว่า
รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯนายกอภิสิทธิ์
มีความเห็นอกเห็นใจและมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาชุมชนในเมือง
แต่สำหรับขบวนการคนจนอย่างเครือข่ายสลัม
4 ภาค
ที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
สิ่งที่ได้รับภายหลังการฟังถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีวันนั้น
กลับเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง สงสัย
ไม่มั่นใจ กระทั่งถึงกับผิดหวัง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
สลัมหรือชุมชนแออัด
เป็นปัญหาเชิงความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ดำรงอยู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน รัฐบาลทุกยุคสมัยต่างต้องการที่จะขจัดสลัมให้หมดสิ้นไป แต่ก็ต้องประสบกับความล้มเหลว
เพราะแนวทางกระแสหลักที่เน้นการย้ายสลัมไปไว้นอกเมืองหรือให้ขึ้นแฟลตตามโครงการของการเคหะแห่งชาติ
ไม่สอดคล้องกับความต้องการของชาวชุมชนที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในเมือง ซึ่งต้องฝากปากท้องไว้กับแหล่งงานที่ไม่ไกลจากแหล่งพักอาศัย
แนวทางการแก้ปัญหาที่ชุมชนแออัดอยากเห็นก็คือ
การเอื้อโอกาสให้ชาวสลัมได้เป็นส่วนหนึ่งของเมือง
โดยการให้ชุมชนปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิมหรือหาพื้นที่ใกล้เคียงรองรับผ่านรูปแบบการเช่าที่ดินของรัฐในระยะยาว
30 ปี
ทิศทางดังกล่าวซึ่งเครือข่ายสลัม
4 ภาค เป็นหัวหอกในการผลักดันโดยมีรูปธรรมนำร่องในที่ดินการรถไฟฯ ได้ถูกรัฐบาลทักษิณที่ว่องไวในการจับกระแสความรู้สึกของคนจนนำไปเป็นนโยบาย
“บ้านมั่นคง” ในปี 2546 โดยเน้นให้ชุมชนแออัดเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยด้วยการปรับปรุงชุมชนในที่เดิม
พร้อมทั้งอนุมัติงบสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคเฉลี่ย 68,000 บาท ต่อครัวเรือน
โครงการบ้านมั่นคงตั้งเป้าหมายไว้ที่ 300,000 หน่วย
ในระยะเวลา 5 ปี มีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ( พอช. )
เป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อทักษิณถูกรัฐประหาร รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ซึ่งแม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ยังอุตส่าห์สานต่อโครงการบ้านมั่นคง โดยอนุมัติงบประมาณด้านสาธารณูปโภคตั้งแต่ปี 2550
– 2554 อีก 13,615 ล้านบาท สำหรับการทำโครงการที่เหลือจำนวน 200,218 หน่วย
แม้จะได้เม็ดเงินมาพัฒนาสาธารณูปโภค
เช่น ทำถนน ถมดิน ทำทางเท้า ทางระบายน้ำ ปักเสาไฟฟ้า วางท่อประปาในชุมชน แต่เมื่อเสาบ้านยังโย้เย้ ฝาบ้านยังปะต่อด้วยวัสดุหลากชนิด แล้วมันจะเป็น “บ้านมั่นคง” ได้อย่างไร
ดังนั้นกองทุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็น
ตั้งแต่ปี
2546 เป็นต้นมา มีการอนุมัติการทำโครงการบ้านมั่นคงไปแล้วถึง
79,464 ครัวเรือน
ในจำนวนนี้มีครัวเรือนที่จำเป็นต้องกู้ยืมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจาก
พอช. 47,733 ครอบครัว
ซึ่ง พอช. ได้ปล่อยกู้ไปแล้ว 17,028 ครัวเรือน โดยใช้เงินกองทุนจำนวน 2,386.15 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยจากชุมชนร้อยละ
4 ต่อปี
ขณะนี้ยังเหลือผู้ตกค้างที่รอกู้สินเชื่ออีก 30,705
ครอบครัว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเป้าหมายอีก
200,218 ครัวเรือน ที่ พอช.
ต้องดำเนินโครงการบ้านมั่นคงให้เสร็จในปี 2554 เบ็ดเสร็จแล้วรวมกว่า 230,000 ครอบครัว
ที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อของกองทุนที่อยู่อาศัยของ พอช.
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงคือว่า ความต้องการใช้สินเชื่อกับปริมาณเงินของกองทุนไม่สอดคล้องกัน ขณะนี้เม็ดเงินของ พอช. กว่า 2,300 ล้านบาทได้หมดลงแล้ว
และยอดเงินจ่ายคืนของชุมชนที่กู้ไปก็ได้กลับมาเพียงเดือนละ 150 ล้านบาท ซึ่งไม่พอต่อการหมุนเวียนสินเชื่อ ดังนั้นถ้าไม่มีการเติมเม็ดเงินให้กับกองทุน
พอช.
ก็ไม่มีทางที่ชุมชนที่รอคอยสินเชื่อจะได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
พอช.
หาทางแก้สถานการณ์ด้วยการต่อเชื่อมกับระบบธนาคารพาณิชย์ โดยการทำข้อตกลงกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (
ธอส. ) เพื่อให้ชุมชนไปกู้ยืมสินเชื่อจาก
ธอส. แทน
แต่แนวทางดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค เพราะเป็นการผลักไสคนจนให้ไปเข้าระบบแบงค์ที่ต้องเสียดอกเบี้ยแพงถึงร้อยละ
6 ต่อปี
สิ่งที่เครือข่ายสลัม
4 ภาค เสนอก็คือ
การให้รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มเม็ดเงินให้กับกองทุน พอช. อีก 6,000 ล้านบาท
โดยเป็นเงินเร่งด่วนในปีนี้ 1,000 ล้านบาท ส่วนอีก 5,000
ล้านบาทนั้น เป็นงบประมาณที่จะทยอยจ่ายให้แก่ พอช. ปีละ 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2553 – 2557 ทั้งนี้เพื่อให้ พอช. นำมาปล่อยกู้ให้แก่ชุมชนที่ต้องการทำโครงการบ้านมั่นคงในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ
4 ต่อปี
โดยการผลักดันวาระดังกล่าวผ่านทาง
“เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย” รัฐบาลภายใต้การนำของนายกอภิสิทธิ์ได้มีมติ
ครม. เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เห็นชอบในหลักการต่อข้อเสนอดังกล่าว
โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และพอช.
ไปจัดทำแผนงบประมาณร่วมกับกระทรวงการคลัง
ผลการหารือของหน่วยงานดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า กรอบการอนุมัติเงินกองทุนที่อยู่อาศัยของ
พอช. จะอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะนำแผนงบประมาณเข้าโครงการกองทุนไทยเข้มแข็งวงเงิน
800,000 ล้านบาท ที่ขออนุมัติจากรัฐสภา ทั้งนี้จะจ่ายเงิน 1,000
ล้านบาท ให้แก่ พอช. ในปี 2552 ส่วนในปี 2553 – 2554 จะจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท และในปี 2555 จะจ่ายให้อีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกรอบการใช้เงินของกองทุนไทยเข้มแข็งที่มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี
2553 – 2555
นี่คือสาระสำคัญของประเด็นกองทุนที่อยู่อาศัยที่เครือข่ายสลัม
4 ภาค ได้ข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานรัฐ
แต่ไฉนข้อสรุปเชิงสาระดังกล่าวจึงไม่ได้ออกจากปากท่านนายกอภิสิทธิ์ในวันที่ไปตรวจเยี่ยมชุมชนคลองบางบัว นายกรัฐมนตรีพูดแต่เพียงว่าจะให้เงินด้านที่อยู่อาศัยแก่ชุมชนจำนวน
1,000 ล้านบาท
ซึ่งถ้อยแถลงอันนี้ได้นำไปสู่ความงุนงง
สับสน ของชาวสลัม รวมถึงสงสัยว่ารัฐบาลต้องการให้เงินแค่ 1,000 ล้านบาท เท่านั้นหรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้นกรอบวงเงิน 6,000 ล้านบาท ที่เคยคุยร่วมกันจะถูกพับไปหรือ?
ท่านนายกอภิสิทธิ์ที่เคารพ รัฐบาลก่อนหน้าท่านทั้งรัฐบาลทักษิณ
และรัฐบาลจากคณะทหาร
ต่างมีส่วนในการสนับสนุนงบประมาณโครงการบ้านมั่นคงเพื่อจะทำให้ความฝันด้านที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นในยุคของฯพณฯท่าน เมื่อการทำโครงการของชาวบ้านเกิดอุปสรรคด้านเม็ดเงินกองทุนสินเชื่อที่ไม่เพียงพอ ก็คงต้องเป็นภาระหน้าที่ของท่านในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีคำขวัญสวยหรูว่า
“ประชาชนต้องมาก่อน” ที่จะต้องสนองตอบต่อข้อเรียกร้องของคนจนตามที่ได้ตกลงไว้กับภาครัฐ โดยการอนุมัติเม็ดเงินจำนวน 6,000 ล้านบาท ให้กับ พอช.
เพื่อให้ชุมชนกู้ยืมไปสร้างบ้านในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
โปรดอย่าให้คนยากคนจนเข้าใจว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านกำลังทรยศ บิดเบือน
หรือเบี้ยว ต่อข้อตกลงที่ให้ไว้กับภาคประชาชน เพียงเพราะเม็ดเงินก้อนนี้นักการเมืองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดซื้อจัดจ้าง เปิดประมูล
รวมถึงล็อกสเป็ค
เหมือนกับโครงการชุมชนพอเพียงที่กำลังฉาวโฉ่วอยู่ในขณะนี้.