โครงการบ้านยั่งยืน : เหล้าเก่า ในขวดใหม่
มาตรการช่วยเหลือคนจน หรือแค่กระตุ้นเศรษฐกิจ
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
รัฐบาลประกาศความคึกคักในการจองที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในรูปแบบ
“โครงการบ้านยั่งยืน” ซึ่งมิใช่โครงการใหม่มาจากไหนแต่เป็น “โครงการบ้านเอื้ออาทร”
ที่ดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หลายโครงการร้างไม่มีผู้จอง หรือหลุดจากการผ่อนชำระ ค้างอยู่หลายยูนิต ปัดฝุ่นปรับปรุงใหม่
และอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอีกจำนวนหนึ่ง มาเปิดให้จองโฆษณาใหม่อีกรอบจำนวน
13,393 ยูนิต หลังจากที่ประกาศวันเปิดจองตั้งแต่วันแรกวันที่
28 สิงหาคม 2558 มีประชาชนจำนวนมากไปยืนรอต่อรอรับบัตรคิวตั้งแต่ตี 4
ทั้งนี้เนื่องจากราคาที่ต่ำเป็นที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับประชาชนรากหญ้าพอที่จะมีกำลังจ่ายไหวกัน
โดยเริ่มต้นราคาที่ 242,000 บาท
ผู้เขียนเองได้มีโอกาสสังเกตการณ์บรรยากาศที่สำนักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ
(กคช.) เนื่องจากทราบข่าวช้าเลยกว่าจะถึง
กคช. ก็กินเวลาไปเกือบจะ 11.00 น. ปรากฏว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า
300,000 บาทต่อยูนิต ถูกจองไปหมดเกลี้ยงแล้ว
และอีกหลายยูนิตในราคา 4 – 5 แสนบาท ที่ถูกจองไปแทบเกือบจะหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่อยู่ต่างจังหวัด บรรยากาศด้านหน้า สำนักงาน กคช.
เต็มไปด้วยรถยนต์นานาชนิดที่จดเรียงรายเพื่อจอดรอในการเข้าจองที่อยู่อาศัยในงานนี้ ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการที่อยู่อาศัยของคนเมืองยังเป็นคงเป็นความต้องการลำดับต้นๆดูได้จากความกระตือรือร้นมารอคิวกันตั้งแต่เช้า
กระนั้นที่อยู่อาศัยที่ กคช. จัดให้จองนั้นยังคงไม่เพียงพอต่อประชาชน
แต่หากจะดูให้ละเอียดลงไปกลุ่มคนที่มาจองนั้นใช่ผู้ที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัยจริงหรือไม่
หรือเป็นกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้วต้องการเพิ่มเติมจากเดิมหรือไม่ (เช่น
เดิมมีบ้านแล้วอยู่กัน พ่อ แม่ ลูก
แต่ลูกออกมาขอใช้สิทธิ์ในการซื้อเพียงคนเดียวเป็นบ้านหลังที่ 2 ของครอบครัว) เนื่องจากคุณสมบัติผู้ที่จะสามารถจองซื้อที่อยู่อาศัย
“โครงการบ้านยั่งยืน” ไม่ได้เข้มงวดมากนัก
ภาพวันเปิดจองโครงการบ้านยั่งยืนวันแรก 28 ส.ค.
58 ที่สำนักงาน กทช.
หากจะลองย้อนมาดูกฎเกณฑ์ กติกา
ผู้ที่จะมีคุณสมบัติในการได้รับการช่วยเหลือจากโครงการนี้ มีดังนี้
คุณสมบัติผู้ทำสัญญา
- มีสัญชาติไทย
- บรรลุนิติภาวะ
(อายุ 20
ปีขึ้นไป)
- ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
ไม่ติด BLACK
LIST หรือ เครดิตบูโรจากสถาบันการเงิน
- มีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 40,000 บาท/เดือน
- สามารถรับภาระและเงื่อนไขการเช่าซื้อได้โดยผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากการเคหะแห่งชาติ
ส่วนหลักฐานในการทำสัญญานอกจากเอกสารยืนยันตัวตนที่ทางราชการออกให้ที่สำคัญต้องมีหนังสือรับรองรายได้ตนเองและคู่สมรส
หนังสือรับรองรายได้จากหน่วยงาน สลิปเงินเดือน หรือสำเนาบัญชีเงินฝาก
หากไม่มีสลิปเงินเดือนจะต้องมีรูปถ่ายกิจการของตนเอง
หากดูผ่านๆก็คล้ายว่ามีการคัดกรองเอาเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อย
(มองดูจากข้อ 4) แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งการันตีว่าบุคคลอื่นที่มีรายได้ครอบครัวมากกว่า
40,000ต่อเดือน จะไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยโครงการบ้านยั่งยืนได้
ถ้าหากผู้ซื้อนั้นอยู่อาศัยในปัจจุบันพักอาศัยเพียงคนเดียว
หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าอยู่อาศัยเพียงคนเดียว ก็จะทำให้บุคคลนั้นที่มี “เงินเดือนไม่เกิน
40,000 บาทต่อเดือน” สามารถซื้อบ้านโครงการบ้านยั่งยืนได้ และนั้นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เขียนไม่แปลกใจที่โครงการเหล้าเก่าในขวดใหม่ของรัฐบาลนี้ถูกจองหมดไปด้วยความรวดเร็ว
และอาจจะเกิดขบวนการเก็งกำไรที่อยู่อาศัยตามโครงการต่างๆที่ทาง กทช. เปิดให้ประชาชนจองขึ้นได้ เนื่องจากการกำหนด
และตามตรวจสอบที่ผ่านมาของโครงการบ้านเอื้ออาทรเดิมนั้นเอื้อต่อคนเหล่านั้นได้ อีกทั้งข้อจำกัดของพนักงาน กทช.
ที่มีจำนวนน้อยไม่สามารถตรวจสอบได้ละเอียดกับทุกราย ทุกโครงการที่มาซื้อที่อยู่อาศัย
ครั้นจะมองถึงการแก้ปัญหาประชาชนรากหญ้าที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด อาจจะมองดูผ่านจากชุมชนสมาชิกของเครือข่ายสลัม
4 ภาค นั้น การแก้ปัญหาชุมชนด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้นโดยส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่เดิมของชาวชุมชนให้น้อยที่สุด
ที่ผ่านมาเครือข่ายสลัม 4 ภาค หลังจากที่ต่อสู้เรียกร้องจนได้ที่ดินที่มั่นคงมาไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการเช่าที่ดินระยะยาวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย
หรือการรวมกลุ่มตั้งสหกรณ์เคหะสถานเพื่อซื้อที่ดิน
ก็จะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลผ่าน “โครงการบ้านมั่นคง”
ที่กำกับดูแลโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.)
เพื่อมาพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ภาพการก่อสร้างที่อยู่อาศัยโดยช่างชุมชน
โดยใช้งบประมาณจากโครงการบ้านมั่นคง
ซึ่งระบบการบริหารโครงการ “บ้านมั่นคง”
ต่างจาก โครงการ “บ้านยั่งยืน” อย่างสิ้นเชิง
โดยจะเปรียบเทียบความต่างให้ดูได้ดังนี้
รูปแบบ
|
โครงการบ้านมั่นคง
|
โครงการบ้านยั่งยืน
|
การเลือกทำเล ที่ตั้งชุมชน
|
ชุมชนร่วมกันตัดสินใจจะเอาที่ไหน
ลักษณะแบบใด
|
การเคหะฯ เป็นผู้เลือกให้
|
การออกแบบบ้าน ที่อยู่อาศัย
|
ชุมชนออกแบบเอง ตามกำลังใช้จ่ายของแต่ละครอบครัว
พิจารณาโดยชุมชน ซึ่งมีแบบที่หลากหลาย
วัสดุอุปกรณ์ตรงตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย
|
การเคหะฯ เป็นผู้ออกแบบให้
มีไม่กี่แบบให้เลือก
|
การใช้สินเชื่อ
|
จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เป็นเครดิตในการใช้สินเชื่อกับทางรัฐบาลดอกเบี้ยต่ำ
ร้อยละ 4 บาทต่อปี คงที่ตลอด 15 ปี
|
ต้องมีสลิปเงินเดือน มีธุรกิจ
กิจการที่มั่นคง ดอกเบี้ยตามธนาคารทั่วไป
|
การติดตามการชำระรายงวด
|
มีความยืดหยุ่น เจรจากันในชุมชน
ช่วยเหลือกันในกลุ่ม ผ่อนปรนไม่แข็งตัว
|
หากค้างชำระ 3 งวด ติดต่อกัน
ยึดกลับคืนทันที ฟ้องร้องตามกฎหมาย ผ่อนปรนไม่ได้
|
การรักษาสิทธิ์ที่ดิน ที่อยู่อาศัย
|
ดูแลสิทธิที่อยู่อาศัย / แปลงที่ดินโดยกลุ่ม
การซื้อขาย เปลี่ยนสิทธิต้องผ่านมติชุมชน
|
เป็นปัจเจก
อยู่อาศัยได้ระยะเวลาที่กำหนดสามารถซื้อขายได้ตามระบบตลาด
|
ดังนั้น “โครงการบ้านยั่งยืน”
จึงไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาประชาชนรากหญ้าที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ผู้จะซื้อ
หรือแม้แต่ทำเลที่ตั้ง
อีกทั้งรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ส่วนใหญ่ออกแบบเป็นลักษณะอาคารห้องชุดเป็นหลัก ซึ่งไม่เหมาะ
และไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนจนเมือง
การเข้าถึงของประชาชนรากหญ้าในชุมชนแออัด หรือถ้าจะให้ตอบกันตรงๆและชัดเจนเลยคือ
“โครงการบ้านยั่งยืน” ไม่ได้สอดคล้องกับวิถีชาวสลัม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน
อาชีพ และด้านสังคมความเป็นอยู่ในลักษณะครอบครัวอยู่กันหลายคน
ชาวสลัมส่วนใหญ่จึงตอบรับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในรูปแบบ
“โครงการบ้านมั่นคง” มากกว่า เพียงแต่ว่าโครงการบ้านยั่งยืนจะตอบโจทย์ความต้องการกับประชาชนชนชั้นกลางมากกว่า
เลยทำให้นึกไปถึงสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก และรัฐบาลพยายามหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ
ถึงขนาดงัดเอานโยบายประชานิยมต่างๆออกมาใช้ใหม่ที่โดนคัดค้าน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลวในรัฐบาลที่ผ่านมา
เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กองทุนหมู่บ้าน และรวมถึงโครงการบ้านยั่งยืน
ที่ปัดฝุ่นขึ้นมาจากโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยที่อ้างความช่วยเหลือประชาชนรากหญ้า แต่แท้จริงแล้วนั้นจุดประสงค์คือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ให้มีการใช้จ่ายภายในประเทศโดยใช้โครงการของรัฐอัดเม็ดเงินลงไปที่ชุมชน
หมู่บ้าน
ที่เป็นกลุ่มมีความตอบสะนองเร็วในการใช้งบประมาณของรัฐในลักษณะเช่นนี้
ยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันวงกว้างว่าเหมาะสมหรือไม่กับมาตรการเหล่านี้
สุดท้ายเม็ดเงินหลักหลายหมื่นล้านที่ลงไปซ้ำรอยเดิมจากประชานิยมรัฐบาลที่ผ่านมานั้น
จะสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนได้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ เปลี่ยนยี่ห้อ
แต่คุณภาพไม่แตกต่างจากเดิม
ในส่วนนี้ทางภาคประชาชนเองยังคงจะจับตามองอย่างใกล้ชิดกันต่อไป.