ระบบหลักประกันสุขภาพ
ก้าวสำคัญสู่รัฐสวัสดิการ
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค
จากปรากฎการณ์ที่มีขบวนภาคประชาชนหลากหลายกลุ่มเคลื่อนไหวการคัดค้านการแก้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(ฉบับที่...) พ.ศ. ...... เนื่องจากมีความกังวลต่อเนื้อหาหัวใจหลักสำคัญของเดิมจะถูกเปลี่ยนแปลงไป
และที่สำคัญเวทีการรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้นที่ผ่านมานั้นไม่ได้คำนึงถึงประชาชนส่วนใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง เห็นได้จากการจัดเวทีเพียง 5 ครั้ง
ในจังหวัดใหญ่ของแต่ละภูมิภาค แล้วที่เหลือให้ถือการรับฟังความเห็นทางช่องทางอินเตอร์เน็ตเป็นที่รับรู้กันนั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ให้ความสำคัญกลุ่มคนราว
๔๘ ล้านคน ที่บางส่วนไม่มีความสามารถในการเดินทางไปยังเวที หรือบางส่วนไม่มีศักยภาพในการเข้าถึงทางระบบอินเตอร์เน็ต เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง
การแสดงความเห็นการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพฯ
ที่จังหวัดขอนแก่น
นั้นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนไม่มีความจริงใจต่อการรับฟังเสียงประชาชน อีกทั้งเนื้อหาที่จะแก้ไขซึ่งอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในระบบการรักษาสุขภาพของประชาชนไทย คือ การจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง (ขอเรียกคำนี้แทนคำว่าร่วมจ่ายซึ่งทำให้สับสนและดูดีเกินจริง)
นี่เองคือประเด็นที่ใหญ่โตที่สุดในการคัดค้านการแก้เนื้อหากฎหมายสุขภาพครั้งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เป็นกลุ่มประชาชนที่มาจากคนจนเมือง
รายได้เข้าเกณฑ์ในการลงทะเบียนคนจนบ้าง ไม่เข้าเกณฑ์บ้าง
เพราะกรอบรายได้ในเกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับวิถีคนจนเมืองสักเท่าไหร่นัก เพราะแม้นรายได้คนจนเมืองจะสูงเกินเกณฑ์ที่ทางรัฐบาลตั้งไว้
แต่รายจ่ายที่รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงนั้นก็สูงเป็นเงาตามตัวมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากแนวโน้มการช่วยเหลืออุดหนุนการรักษาพยาบาลฟรีจะมีเพียงคนที่ผ่านเกณฑ์การลวทะเบียนคนจนเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค
มีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งมาก
ไม่เพียงแต่กลุ่มคนจนรากหญ้าที่กังวลเท่านั้น กลุ่มชนชั้นกลางเองหากประสบปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษา ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเพิ่มขึ้นสามารถก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นมา
หรืออาจจะถึงขั้นเป็นบุคคลล้มละลายจากการรักษาพยาบาลตัวเองก็เป็นได้
เราต้องชื่นชมว่านโยบายหลักประกันสุขภาพที่ผ่านมา ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
องค์กรระหว่างประเทศ ทั้งองค์การอนามัยโลก สหประชาชาติ ธนาคารโลก
ยกย่องให้ไทยเป็นต้นแบบการสร้างหลักประกันสุขภาพของโลก ผลสำเร็จของไทยพิสูจน์ว่า การทำให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าช่วยขจัดความยากจนได้ ไม่เกิดการล้มละลาย ขายที่ขายนา เพื่อรักษาพยาบาล อีกทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับหลายๆ
ประเทศ ขณะที่ในระดับประเทศนั้น
การบริหารกองทุนได้รับรางวัลกองทุนหมุนเวียนดีเด่นจากกระทรวงการคลังทุกปี
มาตั้งแต่ปี 2551 และได้รับรางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศในปี
2556 และ 2559
อีกทั้ง ณ ขณะนี้เราได้มีรัฐธรรมนูญใหม่
อยู่ในห้วงเวลาที่รัฐบาลที่ควรต้องจดจ่อในการออกกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมมากที่สุด
และเตรียมกระบวนการเลือกตั้งให้เป็นไปตามโรดแมฟที่รัฐบาลได้วางไว้
ส่วนกฎหมายอื่นๆที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายกลุ่มควรจะชะลอออกไปก่อน และเมื่อได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจึงค่อยเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนั้นจัดกระบวนการรับฟังอย่างเป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า
โดยแท้จริงแล้วเรื่องงบประมาณการสนับสนุนด้านสุขภาพนั้นถูกขีดเส้นแบ่งทางชนชั้นมาอย่างยาวนานแล้ว
ถ้าจะแบ่งกลุ่มใหญ่ๆจะมี ๓ กลุ่ม ดังนี้คือ
กลุ่มแรกคือกลุ่มข้าราชการ มีกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
มีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล ในกลุ่มนี้ครอบคลุมข้าราชการประมาณ 5
ล้านคน ใช้งบประมาณจากภาษี มีค่าใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 14,123.01
บาทต่อหัว ใช้งบประมาณรวม 618,44.27 ล้านบาทต่อปี
กองทุนประกันสังคม มีสำนักงานประกันสังคม
(สปส.) เป็นผู้ดูแล ครอบคลุมลูกจ้างบริษัทเอกชนจำนวนประมาณ 9.9 ล้านคน
โดยแหล่งเงินมาจากการสมทบของ 3 ฝ่ายคือ นายจ้าง 5% ลูกจ้าง 5% และรัฐบาล 2.5% ใช้การจ่ายแบบเหมาจ่ายรายหัวโดยไม่มีการปรับอัตราเหมาจ่ายตามความเสี่ยง
และให้ผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาหลักได้อย่างเสรี
มีค่าใช้จ่ายต่อหัวแบบเหมาที่ 2,504 บาทต่อหัว ใช้งบประมาณ 24,476.28
ล้านบาท
กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
หรือ สปสช. ครอบคลุมประชากรราว 48 ล้านคน
โดยมีแหล่งที่มาของเงินค่ารักษาพยาบาลจากภาษี มีค่าใช้จ่ายรายหัวอยู่ที่ 2,755.60
บาทต่อหัว มีการใช้งบประมาณไป 101,057.91 ล้านบาท
จะเห็นว่ากลุ่มคนประมาณ ๕ ล้านคน
ใช้งบประมาณด้านสุขภาพต่อหัวเฉลี่ยมากกว่าคน ๕๘ ล้านคน ถึงเกือบ ๕ เท่าตัว
“ความเท่าเทียม” อยู่ตรงไหน ? นี่คือคำถามคำโตๆ ตะโกนดังๆ หากดูตัดตอนมาหลังจากมีกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เมื่อปี ๒๕๔๕ ความต่างทางสังคมที่มีอยู่แล้วเริ่มเห็นชุดเจนขึ้นเมื่อมองผ่านการอุดหนุนช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนแต่ละกลุ่ม
แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือคำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อของผู้แทนรัฐบาลแต่ละท่านเกี่ยวกับการเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนกลับเสมือนว่านโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นภาระทางงบประมาณของรัฐบาล พยายามโยงการแก้ปัญหาชาวเกษตรกรรมที่พืชผลราคาตกต่ำที่แก้ปัญหาไม่ได้
มาจากงบประมาณส่วนหนึ่งต้องมาอุดหนุนให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ
ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน หรือแม้แต่การไม่รักษาสุขภาพของประชาชนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
ไม่ออกกำลังกาย
มาเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมารักษาพยาบาลจำนวนมาก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ใช้สิทธิบัตรทอง แต่มันเป็นพฤติกรรมของประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ
ไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการ หรือนักการเมือง
และหากกล่าวถึงงบประมาณทางทหารที่รัฐบาลใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์การรบไปกว่า
๔๓,๐๐๐ ล้านบาท นั้นกลับใช้จ่ายโดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นก่อนหลังการขับเคลื่อนประเทศ
ยังไม่รวมถึงงบประมาณกว่าแสนล้านที่จะเตรียมสร้างรถไฟความเร็วสูงที่ไม่มีความจำเป็นที่จะรีบเร่งในการก่อสร้างในช่วงนี้
ความด่วนรีบใช้งบประมาณเหล่านี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจสักเท่าไหร่นัก
เนื่องจากยังมีอีกหลายกลุ่มที่สำคัญที่ยังขาดงบประมาณในการแก้ไข
และขับเคลื่อน เช่น การแก้ปัญหาราคาข้าว ราคายางพารา
การใช้งบประมาณที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นที่ผ่านมาของรัฐบาลนี่เองที่เป็นการสร้าง
“ความไม่ชอบธรรม” ในการจัดสรรงบประมาณ
นอกเหนือจากงบประมาณที่รอการจัดสรรอย่างพอเหมาะ พอเพียง
กับการดำเนินการของกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ
เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ
อีกอย่างที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นจุดเด่นนั้นคือ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่มีพื้นที่การแสดงความคิดเห็น
กำหนดยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงาน
พร้อมทั้งเสนอแนวทางต่างๆสร้างความเท่าเทียม
ในเวทีคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ ที่มีสัดส่วนของภาคประชาชน ประชาสังคม
ถึงแม้ปัจจุบันสัดส่วนยังดูน้อย
แต่หากถ้ามีการปรับแก้ไขใหม่จนทำให้สัดส่วนของภาคประชาชนที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วจะกลายเป็นไร้ค่าในเวทีนั้นไปโดยปริยาย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดระบบการรักษาพยาบาลควรจะก้าวหน้าไปกว่าเดิม
มิใช่ถดถอยหลัง ล้าหลังไปกว่าเก่าที่มีมา
จึงจะถือว่าเกิดการปฎิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพอย่างแท้จริง ดังนั้นเครือข่ายสลัม ๔ ภาค
เห็นว่าหากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะสร้างความเท่าเทียมทางสังคม โดยเฉพาะในด้านสุขภาพนั้น
แนวความคิดที่จะต้องให้ประชาชนต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีกควรไม่มีอีกต่อไป
และสำคัญอย่างยิ่งหากจะให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยมีความสง่างามเท่าเทียมถ้วนหน้า ประชาชนทุกคนควรที่จะได้รับการบริการ ได้รับการสนับสนุน จากรัฐบาลที่เท่ากันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแรงงานในระบบ กลุ่มแรงงานนอกระบบ หรือแม้แต่ข้าราชการ นักการเมือง
ทั้งหมดนี้ควรจะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม เช่นเดียวกัน
อย่างน้อยความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในประเทศไทยก็จะหายไป นี่คืออีกหนึ่งเสียงที่พยายามบอกถึงทิศทางในการปรับปรุงระบบการรักษาสุขภาพที่ดีของประเทศไทย
จะเป็นหนึ่งก้าวที่สำคัญที่ไทยเราจะมีสวัสดิการด้านสุขภาพโดยรัฐ
หรือรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพ อย่างยั่งยืน
แก้แล้วแย่อย่าแก้ดีกว่านะครับ