เครือข่ายชุมชนก้าวหน้า
อีกหนึ่งย่างก้าว ของชาวชุมชน
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
การไล่รื้อชุมชนแออัด หรือ สลัม
มีมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี
บทเรียนต่างๆเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสขับไล่คนจนออกนอกเมือง ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นได้ฉุกคิดถึงนโยบาย
หรือกฎหมาย ที่จะมาช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น
จึงมีการรณรงค์ผลักดัน “พรบ.ชุมชนแออัด” ขึ้นมา การช่วยเหลือกันยามลำบากตอนถูกไล่รื้อ
“เพื่อนช่วยเพื่อน”
คอยวนเวียนไปเยี่ยมเยียน
หรือไปเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อหยุดยั้งการไล่รื้ออันโหดร้ายในยุคนั้น จนก่อเกิดเครือข่ายชาวบ้านขึ้นมาในนาม
“ศูนย์รวมพัฒนาชุมชน” ที่เป็นต้นแบบในการหนุนช่วยกันระหว่างผู้ถูกไล่รื้อด้วยกันเอง
และขยายตัวรวมกลุ่มจนเป็นหนึ่งในเครือข่ายในการก่อตั้งสร้างเครือข่ายสลัม 4
ภาค ขึ้นมา
ในช่วงหลังรัฐประหาร ปัญหาการไล่รื้อชุมชนแออัดก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด
( จากบทความ สมการสังคมไทย รัฐ บวก ทุน เท่ากับ
ลืมคนจน)
ชุมชนเสรีไทย 57 เขตบึงกุ่ม กทม. ที่ถูกไล่รื้อจากอำนาจเถื่อน ที่รู้จุดอ่อนคนจน และช่องว่างทางกฎหมาย
โดยการใช้กำลังและเครื่องจักรเข้าทำลายบ้านเรือนโดยไม่มีคำสั่งศาลใดๆ และชุมชนโรงช้าง เขตบางกะปิ กทม.
ที่ถูกไล่รื้อจากกลุ่มทุน
ที่ยังสร้างความเคลือบแคลงใจของชาวบ้านว่า
ที่ที่ชุมชนตั้งอยู่ควรจะเป็นที่สาธารณะของหน่วยงานรัฐ แต่กลับกลายมาเป็นที่ดินเอกชน เป็น 2 ชุมชนที่อยู่ในที่ดินเอกชนแล้วถูกไล่รื้อในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
หลังจากเจอปัญหามาพร้อมๆกันการรวมมือ
จับมือกันมาเป็นสหกรณ์เคหะสถาน เพื่อหาที่ดินรองรับแห่งใหม่ก็เกิดขึ้น ทั้งสองชุมชนได้ไปซื้อที่ดินแห่งใหม่บริเวณบึงนายพล
ซอยประชาร่วมใจ 43 เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
แม้จะห่างจากที่เดิมที่เคยอยู่อาศัยไปกว่า 20 กิโลเมตร แต่ระบบขนส่งในปัจจุบันยังพอที่จะบรรเทาให้เขาเหล่านั้นยังสามารถดำรงชีพในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อไปได้อย่างมั่นคง แต่กระนั้นยังส่งผลให้สมาชิกออมทรัพย์เดิมหลายคนต้องขอแยกทางกันไปเพราะความที่ไกลจากแหล่งงานเดิม จากเดิมสองชุมชนรวมกันกว่า ๑๐๐ ครอบครัว คงเหลือเพียง ๓๗ ครอบครัว
ภาพการไล่รื้อชุมชนเสรีไท ๕๗ และชุมชนโรงช้าง
ส่วนชุมชนในที่อยู่ในที่ดินสาธารณะที่กรุงเทพมหานครดูแลก็ถูกดำเนินการขับไล่ให้ย้ายออกจากที่ดินเดิมที่เคยอยู่กันมาอย่างยาวนาน
มี 4 พื้นที่ คือ ชุมชนแบนตาโพ
เขตคลองสามวา , ชุมชนคลองเป้ง
เขตวัฒนา , ชุมชนราษฎร์บัวขาว
เขตสะพานสูง และชุมชนอยู่เย็น
เขตลาดพร้าว
ล้วนถูกกรุงเทพมหานคร
แจ้งให้รื้อย้ายในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนลำดับที่ 1 – 2 นั้น
ที่ถูกไล่รื้อจากกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม นั้นคือ ปว.44
ที่ประกาศใช้จากคณะปฎิวัติมาตั้งแต่เมื่อปี 2502
ซึ่งเป็นกฎหมายไร้ความยุติธรรม
ไม่เปิดโอกาสให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แต่ให้โอกาสหน่วยงานรัฐสามารถรื้อถอนบ้านเรือนได้ตามอำเภอใจ กฎหมายล้าหลังเช่นนี้ยังคงอยู่และใช้อยู่กับคนจนอยู่เนืองๆ กระทั่งการเข้ามาให้คำปรึกษาช่วยเหลือจัดตั้งกลุ่มในแต่ละพื้นที่ชุมชน
ขับเคลื่อนเรียกร้องเจรจากับทางกรุงเทพมหานคร กระทั่งได้ข้อสรุปคือ ทั้ง 4 ชุมชนสมาชิก
รวมเป็นหนึ่งสหกรณ์ เพื่อหาที่รองรับแห่งใหม่
ได้ความช่วยเหลือประสานงานจากชุมชนโรงช้าง
ที่ได้ย้ายมาอยู่ก่อนพักใหญ่แนะนำที่ดินข้างเคียงราคาถูกให้ ทั้ง 4 ชุมชนตกลงกันจะเอาที่ดินแปลงดังกล่าวราว
12 ไร่ รองรับ 145 ครอบครัว มาในนาม ชุมชนภูมิใจ
เพื่อสร้างชีวิตใหม่ในผืนแผ่นดินใหม่
ในซอยประชาร่วมใจ 43 เขตคลองสามวา
เยื้องๆกับที่รองรับชุมชนโรงช้าง
ภาพการยกศาลพระพรหมในพื้นที่รองรับแห่งใหม่ของชุมชนภูมิใจ
นอกจากนั้นยังมีชุมชนตลาดบ่อบัว ที่อยู่กลางเมืองแปดริ้ว ตั้งอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งโดนกลไกการตลาดค้าที่ดินส่งผลกระทบมายังชุมชน
เดิมทีชุมชนนี้เช่าที่ดินกับการรถไฟฯมาหลายสิบปี
แต่ต่อมาหยุดให้เช่าไม่กี่เดือนถัดไปก็รู้ถึงสาเหตุที่ไม่ให้เช่าต่อ เพราะเนื่องจากมีกลุ่มทุนเสนอราคาค่าเช่าที่แพงกว่านั้นเอง ส่งผลให้ชุมชนนี้กลายเป็นกลุ่มคนอาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมายทันที
ภาพการไล่รื้อชุมชนตลาดบ่อบัว
จึงเกิดการคัดค้าน เรียกร้องความเป็นธรรมกันใช้เวลากว่า 4 ปี
ร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค บทสรุปการเรียกร้องและเจรจาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.
2561 ได้มีมติคณะกรรมการรถไฟอนุมัติหลักการเช่าให้กับชาวชุมชนตลาดบ่อบัว โดยการรถไฟฯได้แบ่งที่ดินประมาณ 6 ไร่ ให้กับชาวชุมชน
99 ครอบครัว เช่าเป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากินในที่บริเวณเดิม
ชุมชนเหล่านี้ประสบปัญหาถูกไล่รื้อชุมชนเหมือนกัน เป็นคนจนที่มีหัวอกเดียวกัน เข้าใจถึงปัญหา เข้าใจถึงความรู้สึก สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้กลุ่มชุมชนดังกล่าวได้มารวมตัวกัน ในปี 2560 ในวันสมัชาใหญ่เครือข่ายสลัม 4 ภาค
เขาเหล่านั้นร่วมกันประกาศการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการในนาม
“เครือข่ายชุมชนก้าวหน้า”
และได้กลายเป็นเครือข่ายสมาชิกที่ 9 ของเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ภาพการประชุมจัดตั้งเครือข่ายชุมชนก้าวหน้า
เครือข่ายชุมชนก้าวหน้าประกอบไปด้วยชุมชนสมาชิกที่มาจาก
7 ชุมชน ดังนี้
1.
ชุมชนเสรีไท
เขตบึงกุ่ม
2.
ชุมชนโรงช้าง เขตบางกะปิ
3.
ชุมชนแบนตาโพ เขตคลองสามวา
4.
ชุมชนคลองเป้ง เขตวัฒนา
5.
ชุมชนอยู่เย็น เขตลาดพร้าว
6.
ชุมชนราษฎร์บัวขาว เขตสะพานสูง
7.
ชุมชนตลาดบ่อบัว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
เป็นความต่างที่เหมือนกัน....ทั้ง 7
ชุมชน ไม่ได้มีรายละเอียดการแก้ปัญหาที่เหมือนกัน
เนื่องจากที่ตั้งชุมชนเจ้าของที่ดินไม่ได้มีความคล้ายกัน ลำดับที่ 1-2
เจ้าของที่ดินเอกชนไล่รื้อ ลำดับที่ 3-6
กรุงเทพมหานครเป็นผู้ไล่รื้อ ลำดับที่ 7 การรถไฟฯกับกลุ่มทุนไล่รื้อ ความเหมือนกันก็คือเรื่องความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย เขาเหล่านั้นถูกกระทำราวกับเป็นอาชญากร
เพียงแค่จนไร้ที่อยู่อาศัยเท่านั้นเอง
การรวมตัวเป็นเครือชุมชนก้าวหน้าไม่ได้เป็นเพียงการรวมกลุ่มเพื่อทำความรู้จักกันเท่านั้น แต่เป็นการรวมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือกันในทุกด้าน ที่ผ่านมาการไล่รื้อชุมชนแต่ละครั้ง
สมาชิกในเครือข่ายชุมชนก้าวหน้าก็หมุนเวียนกำลังกันช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนประกสบการณ์กัน เป็นทะแนะ ทนาย
ช่วยกันในเครือข่ายชาวบ้าน
โดยใช้ประสบการณ์จริงในการส่งต่อความรู้
และนั้นคือสิ่งที่ท้าทายในอนาคต หลังจากที่เขาเหล่านั้นได้ที่ดินที่มั่นคง ได้บ้านที่มั่นคง ไม่ถูกไล่รื้อ ไม่ถูกรุกรานจากลุ่มทุนแล้ว
การดำรงอยู่ต่อไปข้างหน้าของเครือข่ายจะยังสามารถยกระดับต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ท้าทายกว่าการต่อต้านการไล่รื้อเสียอีก ดังคำกล่าวของ “สุวิทย์ วัดหนู” นักสู้ของคนจนเคยได้กล่าวไว้ว่า “การต้านการไล่รื้อเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่การรักษาที่ดิน
รักษาชุมชนที่ได้มาลำบากยิ่งกว่า”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น