ไล่สลัมให้พ้นเมือง : วิสัยทัศน์อันเรืองรองหรือมุมมองอันมืดบอด
?
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
วิสัยทัศน์เฮงซวย
:
ของนายกฯห่วยแตก
ในการประชุมประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
( สศช. ) ที่ศูนย์อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2551
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “วิสัยทัศน์ประเทศไทย
ปี 2570” โดยมีเนื้อความพาดพิงถึงสลัมหรือชุมชนแออัดว่า
“ มีความต้องการที่จะขยับขยายหรือย้ายชุมชนที่เรียกว่า
สลัม ประมาณ 1,700 แห่ง รวมถึงโรงงานขนาดเล็กที่มีอยู่ 30,000 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร ออกไปไว้นอกเมือง โดยรัฐบาลจะเข้าไปเจรจากับเจ้าของที่เดิม
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีเก่าเพื่อขอเช่าพื้นที่ต่อ เพราะหากซื้อจะต้องเสียภาษีมาก จากนั้นจะนำพื้นที่เหล่านั้นมาจัดให้เป็นสัดส่วน ทำเป็นสวนสาธารณะหรือจุดสีเขียว เพื่อให้ กทม.มีพื้นที่สีเขียวขึ้น ก็จะทำให้ กทม. เป็นเมืองที่มีความสวยงามและน่าอยู่ ”
แนวความคิดในการย้าย “ สลัม
” ออกไปนอกเมืองเพื่อนำพื้นที่มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะรวมทั้งสร้างพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองสวยงามและเมืองน่าอยู่นั้น นำมาซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้จากชาวสลัม เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนแออัด ได้ประกาศจุดยืนคัดค้านวิสัยทัศน์ของนายสมัคร
ด้วยการระดมตัวแทนกว่าร้อยคนไปยื่นจดหมายเปิดผนึกที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า
วิสัยทัศน์การพัฒนาด้วยการย้ายคนสลัมไปอยู่นอกเมือง
เป็นวิสัยทัศน์ที่ไม่เข้าใจรากเหง้าและประวัติศาสตร์ของปัญหาสลัม มองไม่เห็นคุณค่าของชุมชนและคนยากจนที่มีฐานะเป็นแรงงานในการสร้างควมเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับเมือง นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี
ทบทวนวิสัยทัศน์การพัฒนาในแบบที่รื้อย้ายคนสลัมออกไปนอกเมือง
นอกจากจะส่งสาส์นถึงรัฐบาลแล้ว
ชาวสลัมกลุ่มนี้ยังเปิดเวทีสาธารณะเพื่อถกเถียงถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าวในหัวข้อ
“ ไล่สลัมให้พ้นเมือง : วิสัยทัศน์อันเรืองรองหรือมุมมองอันมืดบอด
? ” ณ อาคารศูนย์คนไร้บ้านสุวิทย์ วัดหนู
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา
โดยเชิญหน่วยงานภาครัฐ กรรมการสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ
เอ็นจีโอ
และผู้นำชุมชนเข้าร่วมพูดคุย
คนสลัม
:
กับตำนานแห่งการบุกเบิก
“ คนสลัมเป็นผู้บุกเบิก การเกิดขึ้นของสลัมเกี่ยวพันกับทิศทางการพัฒนาประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมโดยละทิ้งภาคเกษตร ทำให้พี่น้องคนจนในชนบทต้องอพยพเข้าเมือง
เมื่อมาอยู่เมืองภาครัฐก็ไม่ได้เหลียวแลในเรื่องที่อยู่อาศัยทั้งๆที่พี่น้องเข้ามาเป็นแรงงานในเมือง
คนจนเหล่านี้จึงต้องแสวงหาที่อยู่อาศัยกันเองทั้งในที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐและเอกชน จนกลายเป็นชุมชนแออัดในท้ายสุด ”
เจ้าของความเห็นที่ตรงไปตรงมานี้คือ ประทิน
เวคะวากยานนท์ ประธานเครือข่ายสลัม
4 ภาค หนึ่งในผู้เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อข้างต้น ทัศนะของเธอทำให้นึกถึงภาพของสลัมคลองเตย แหล่งชุมชนแออัดขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ
เมื่อครั้งที่ประเทศไทยกำลังเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกๆ อุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าทำให้รัฐบาลต้องสั่งสินค้าเครื่องจักรและวัตถุดิบจากต่างชาติ
ท่าเรือคลองเตยซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งจึงจำเป็นต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากในการขนถ่ายสินค้า เมื่อไม่มีที่ซุกหัวนอนกุลีแรงงานเหล่านั้นจึงบุกเบิกถิ่นฐานการอยู่อาศัยในที่ดินของการท่าเรือฯจนกลายเป็นสลัมคลองเตย
นอกจากที่คลองเตยแล้ว สลัมแห่งอื่นๆก็มีลักษณะของการบุกเบิกไม่ต่างกัน จากประสบการณ์ตรงของผมในการทำงานกับสลัมในที่เอกชนย่านพระราม
3 ราว 1,000 ครอบครัว พบว่า
“ ชุมชนส่วนใหญ่ 5 ชุมชน
อาศัยอยู่ในที่ดินเอกชนที่มีสภาพเป็นป่าจาก และร่องสวนเก่า ซึ่งเจ้าของที่ปล่อยรกร้างเอาไว้
มีเพียงผู้ดูแลที่ดินที่ต่อมานำเอาที่ดินมาแบ่งแปลงออกขายด้วยการเรียกเก็บค่าหน้าดินจากชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่แปลงละ
5,000 – 15,000 บาท
แล้วแต่ขนาดของแปลงที่ดิน
การจ่ายค่าที่ดินไม่มีลายลักษณ์อักษรใดๆ
นอกจากคำสัญญาที่จะนำเงินไปให้เจ้าของที่
และด้วยกระบวนการเช่นนี้
ขบวนแถวของผู้ไม่มีบ้านต่างก็ทยอยกันเข้าปักหลักจับจองที่ดิน หักร้างถางพง
ปลูกบ้านพักอาศัยและพัฒนาเป็นชุมชนในที่สุด
อีกตัวอย่างหนึ่งของการบุกเบิกที่ดินเอกชนก็คือ ชุมชน 2 แห่ง
ที่เถ้าแก่โกดังค้าข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยานำเอาที่ดินของตนที่อยู่ใกล้ๆกับโกดังมาปลูกเป็นเรือนแถวให้คนงานพักอาศัย จากนั้นการก่อตัวเป็นชุมชนก็เริ่มขึ้น เมื่อบรรดาจับกังต่างพากันหอบเอาลูกเมีย เครือญาติ
มาอาศัยด้วย
เพื่อช่วยกันทำมาหากินจนในท้ายสุดก็แตกขยายกลายเป็นชุมชน ”
สลัมในหัวเมืองก็เช่นกัน มักมีพัฒนาการในการตั้งถิ่นฐานภายหลังการเข้ามาเป็นกำลังแรงงานในเมือง
สลัมริมทางรถไฟที่ขอนแก่นมีบรรพบุรุษรุ่นแรกเป็นคนงานตัดฟืนเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในหม้อน้ำรถไฟในสมัยที่การรถไฟฯยังใช้รถที่วิ่งด้วยหัวรถจักรไอน้ำ
นอกจากนี้สลัมในที่ดินของวัด ที่ดินสาธารณะ และที่ราชพัสดุตามจังหวัดต่างๆ ก็ล้วนแต่มีที่มาที่ไปในลักษณะของการถูกบุกเบิกทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าการบุกเบิกตั้งถิ่นฐานของชาวสลัม
เกิดจากความจำเป็นของการไม่มีที่อยู่อาศัยภายหลังอพยพเข้าสู่เมือง นอกจากนี้การช่วยกันสร้างบ้านแปงเมือง พัฒนาพื้นที่ทั้งทางกายภาพ ถนนหนทาง
และการก่อเกิดขึ้นของแหล่งย่านค้าขายของชุมชน
ก็ส่งผลโดยตรงต่อความเจริญและมูลค่าของที่ดินที่ชุมชนบุกเบิกอยู่อาศัย ดังนั้น
นี่จึงไม่ใช่การบุกรุกถือครองด้วยสภาพจิตอันละโมบที่มุ่งหวังผลประโยชน์และกำไรในทรัพย์สินของผู้อื่น หากแต่เป็นการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าของผู้ที่ล้มละลายมาจากชนบท เป็นการหยั่งรากฝากกายของชีวิตใหม่ในเขตเมือง
ไล่สลัมออกนอกเมือง
:
สารพัดเรื่องใครจะทำ
โปสเตอร์แผ่นหนึ่งถูกใส่กรอบติดไว้ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายสลัม
4 ภาค โดยมีข้อความเขียนว่า “
ไล่สลัมไปนอกเมือง สารพัดเรื่องใครจะทำ ” ถ้อยคำรณรงค์นี้เป็นคำขวัญที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจของชาวสลัมอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นผู้บุกเบิกถิ่นฐานในเมืองแล้ว การดำรงอยู่ของพวกเขายังเกี่ยวพันอย่างมากกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมือง ภาคการผลิต
พานิชยกรรม
การก่อสร้างและธุรกิจบริการ
ต่างต้องพึ่งพาแรงงานจากชุมชน
งานหนักและอาชีพที่ไม่มีใครอยากทำ
เป็นต้นว่า แบกหาม กรรมกร
เก็บขยะ กวาดถนน ขับรถเมล์ ฯลฯ
ก็ล้วนแต่คนสลัมทำ
อย่างไรก็ตามสำหรับภาครัฐแล้ว
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปเป็นฐานคิดเพื่อทำความเข้าใจกับสภาพปัญหา
หน่วยงานราชการต่างๆอาศัยแต่มุมมองทางกฏหมายมาเป็นมาตรการหลักในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด ชุมชนถูกประทับตราว่าเป็น “
ผู้บุกรุก ” และท้ายสุดก็มักไปจบลงที่การใช้กฏหมายในการรื้อย้ายชุมชน
สังวาลย์ บุญส่ง
แกนนำชุมชนบ่อนไก่
ผู้ร่วมวงเสวนาอีกคน
กล่าวยืนยันถึงความเจ็บปวดจากการไล่รื้อและขับไล่ชาวสลัมออกไปนอกเมือง “
เมื่อปี 2526
ชุมชนคลองบางอ้อถูกคอมมานโดไล่รื้อ
มีการจับกุม ใช้ความรุนแรง ผมเห็นผู้หญิงคนแก่ต้องก้มกราบตำรวจเพื่อขอไม่ให้รื้อบ้าน
ตอนนั้นผมทำงานขับรถส่งน้ำมันแวะเข้าไปดูสถานการณ์
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงานแล้วเข้าร่วมกับเอ็นจีโอก่อตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อต่อสู้ในสิทธิที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้แนวคิดเรื่องการย้ายคนจนออกไปนอกเมืองก็มีมานานแล้ว สมัยนั้นนายวัฒนา อัศวเหม เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ก็คิดย้ายคนสลัมออกไปอยู่ปราจีนบุรี แต่พี่น้องไม่เอาด้วย
มีการยกพลไปเจรจาคัดค้านเพราะคนจนจะต้องอยู่ในเมือง หากินในเมือง
พวกแม่ค้าที่ย้ายไปชานเมือง
เวลายกหาบขนมจีนขึ้นรถเมล์เพื่อนำมาขาย
ก็ถูกกระเป๋ารถเมล์บ่น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องลำบากที่คนจนต้องไปใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง ”
ประสบการณ์ในการย้ายชุมชนไปอยู่นอกเมือง
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการของการเคหะแห่งชาติที่กระจายอยู่ในหลายจุด อาทิเช่น
มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง
ลาดหลุมแก้ว รังสิตคลองสาม คลองห้า นั้น
ท้ายสุดแล้วพบว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนสลัม การย้ายชุมชนออกนอกเมือง
หากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ การพาคนไปอยู่ห่างไกลจากแหล่งงานเดิมของชาวสลัม ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานนอกระบบในเมือง
เช่น กรรมการ ลูกจ้าง คนเก็บของเก่า แม่ค้าหาบเร่ ฯลฯ คนที่ยึดอาชีพเหล่านี้
ครั้นจะกลับมาทำงานในเมืองที่ต้องเสียทั้งเวลาและค่าเดินทางที่แพงขึ้น
อีกทั้งยังต้องเสียเงินผ่อนชำระค่าที่ดิน สินเชื่อปลูกบ้าน และเมื่อรายได้ลดลง แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ชุมชนใหม่ไม่ได้
ก็ต้องเซ้งสิทธิ์กลับเข้ามาบุกเบิกชุมชนในเมืองอีก
ผลจากสภาพปัญหาดังกล่าว
ทำให้ชาวสลัมที่ได้รับการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยกว่าร้อยละ 50 ทิ้งบ้านและกลับเข้ามาอยู่อาศัยในสลัม ทั้งที่อยู่ในรูปของการกลับมาเช่าบ้าน เช่าห้อง
และการเข้ามาบุกรุกที่ดินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
เพื่อความสะดวกในการทำงาน
โดยชาวสลัมบางส่วนก็ทิ้งคนแก่และเด็กไว้ในที่อยู่อาศัยนอกเมืองและไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว
ความล้มเหลวของการย้ายชุมชนไปนอกเมือง สอดคล้องกับทัศนะของ น.ส.สมสุข บุญญบัญชา
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ( พอช. ) ที่กล่าวในวงเสวนาว่า “
แนวคิดในการรื้อย้ายสลัมไปไว้นอกเมือง
เป็นแนวคิดที่หลายประเทศในเอเชียยึดเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนในระหว่างช่วงปี
2515 – 2525
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในที่สุดคนจนก็ต้องกลับเข้ามาใช้ชีวิต เข้ามาทำมาหากินในเมืองอีก แสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้ใช้แก้ปัญหาความเป็นชุมชนแออัดในเมืองไม่ได้
ความท้าทายจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้นักการเมืองมองว่าประชาชนเป็นทรัพยากรในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เป็นตัวปัญหา และควรให้ชาวบ้านเป็นศูนย์กลางในการทำโครงการที่อยู่อาศัย
”
ปฏิรูปที่ดินเมือง
:
เครื่องมือสู่สิทธิในที่อยู่อาศัย
การคัดค้านต่อวิสัยทัศน์การพัฒนาเมืองของนายกรัฐมนตรี
ไม่ได้หมายความว่าชาวชุมชนแออัดเห็นด้วยกับการดำรงอยู่ของสภาพ “สลัม” ในจดหมายเปิดผนึกของเครือข่ายสลัม
4 ภาคระบุว่า “
เราขอยืนยันว่าเราอยากแก้ไขปัญหาสลัม
ไม่ต้องการอยู่กันอย่างชุมชนแออัดที่ไม่เป็นระเบียบไม่ถูกสุขลักษณะ
แต่การแก้ไขปัญหาสลัมไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีย้ายคนไปนอกเมือง
วิธีการปรับปรุงชุมชนในที่ดินเดิมให้พ้นจากความเป็นสลัมก็สามารถกระทำได้และมีรูปธรรมตัวอย่างมาแล้วมากมาย เครือข่ายสลัม 4
ภาคทำข้อตกลงร่วมกับกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในที่ดินการรถไฟฯ
โดยการทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ทั้งในที่ดินเดิมหรือพื้นที่รื้อย้ายใกล้เคียงในรัศมี
5 กิโลเมตร ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าชุมชนจะต้องจัดผังชุมชนใหม่เพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็นระเบียบและไม่อยู่ในสภาพสลัม
”
นอกจากการทำโครงการปฏิรูปที่ดินเมืองในพื้นที่การรถไฟฯ ซึ่งได้ดำเนินการนำร่องไปกว่า 1,500
ครอบครัวแล้ว ปี 2546 รัฐบาลของอดีตนายกทักษิณ ซึ่งรัฐบาลสมัครเป็นนอมินีอยู่ในขณะนี้ ก็ได้อนุมัติให้ดำเนิน “โครงการบ้านมั่นคง”
ที่เน้นให้ชุมชนแออัดปรับปรุงชุมชนหรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
โดยมีนโยบายให้หน่วยงานรัฐที่เป็นเจ้าของที่ดินเป็นต้นว่า กรมธนารักษ์ รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นๆ เช่น การรถไฟฯ การท่าเรือฯ
จัดที่ดินให้ชุมชนเช่าปรับปรุงที่อยู่อาศัยในระยะยาว
ขณะนี้มีการจัดทำโครงการบ้านมั่นคงร่วมกันระหว่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(พอช.) และชาวชุมชนแออัดเป็นจำนวนกว่า 50,000 หลังคาเรือน
หากไม่นับเฉพาะประเทศไทย
การแก้ไขปัญหาสลัมในแบบที่ไม่ต้องย้ายคนไปนอกเมืองยังเป็นนโยบายในระดับสากลด้วย
ทั้งนี้เพราะองค์การสหประชาชาติได้รณรงค์คำขวัญ “Cities without Slum” หรือ “เมืองที่ปราศจากสลัม” มาตั้งแต่ปี 2544
ซึ่งความหมายก็คือให้ประชาชาติต่างๆมีนโยบายปรับปรุงชุมชนให้พ้นจากความเป็นสลัม มิได้หมายถึงการรื้อย้ายหรือขจัดสลัมออกไปนอกเมือง
(Slum Clearance)
แนวทางที่อยู่อาศัยระดับสากลไม่ได้ต่างไปจากความเห็นของ
น.ส.อาภรณ์ วงษ์สังข์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ระบุว่า “ การย้ายสลัมไปนอกเมืองเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องนำเข้าหารือในคณะรัฐมนตรี ที่สำคัญคือประเทศไทยได้ทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรม
ซึ่งคุ้มครองให้พลเมืองได้มีค่าครองชีพและมีที่อยู่อาศัยอย่างเพียงพอ หากมีการละเมิดก็ต้องถูกตรวจสอบ ”
เมืองน่าอยู่
:
วาทกรรมสวยหรูของเสรีนิยมใหม่
เมืองน่าอยู่ เมืองสีเขียว นั้น เป็นแนวคิดในการพัฒนาเมืองที่เน้นความเป็นระเบียบ ความสวยงาม
และความทันสมัย
ที่ส่งผลครอบงำแนวทางการบริหารจัดการเมืองของหลายประเทศในเอเชีย เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว
กรุงโซลของเกาหลีใต้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่ที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค แต่เบื้องหลังของการเป็นเมืองชั้นนำนั้น
คือการกวาดล้างชาวสลัมหลายหมื่นครอบครัวออกไปนอกเมือง
และจากนั้นมาเมืองหลวงของเกาหลีใต้ก็เต็มไปด้วยโครงการรื้อย้ายสลัม /
แหล่งย่านของคนจน เพื่อเปิดทางให้กับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับชนชั้นกลาง
( Urban
Land Redevelopment )
ในฟิลิปปินส์ ชาวสลัมริมแม่น้ำปาสิกกลางกรุงมะนิลาราว
94,000 ครัวเรือน
กำลังถูกทางการขับไล่จากพื้นที่เดิมด้วยข้ออ้างของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมน้ำ ขณะที่ผู้อยู่อาศัยใต้ทางด่วน ( Freeway ) ในกรุงจาการ์ตา
ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 10,000
ครอบครัว ที่อยู่ในสภาพรกหูรกตาของผู้มีอำนาจ
ก็กำลังถูกไล่รื้อเช่นกัน
สำหรับบ้านเรานั้น มีสารพัดโครงการซึ่งสะท้อนตัวตนของการเป็น “เมืองน่าอยู่” ที่ไม่สนใจคนจนและละเลยวิถีชุมชน
ชื่อเสียงเรียงนามที่พอคุ้นหูของโครงการเหล่านี้ก็เช่น โครงการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวชั้นใน ที่ชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิมอย่างชุมชนป้อมมหากาฬกำลังได้รับผลกระทบ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดวาอารามหลวง เป็นต้นว่า วัดยานนาวา วัดกัลยาณมิตร ที่คณะสงฆ์ทำการขับไล่ชุมชน โครงการเขตเศษฐกิจพิเศษพระราม 3 ที่จะเนรมิตรเมืองใหม่ริมแม่น้ำทดแทนแหล่งย่านของชุมชน โครงการคลองเตยคอมเพล็กซ์ ที่กำลังมองข้ามหัวคนจนด้วยการเปิดรับการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติ และโครงการฟื้นฟูเมืองใหม่ดินแดงโดยการทุบแฟลตเดิมทิ้งเพื่อสร้างอพาทร์เม้นใหม่
วิสัยทัศน์ย้ายคนจนไปนอกเมืองเพื่อสร้างเมืองสวยงาม เมืองน่าอยู่
โดยการขจัดสลัมออกไปซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นทั้งในและต่างประเทศนั้น ถือเป็นวิสัยทัศน์การพัฒนาที่ไม่เคารพต่อคุณค่าและวิถีของชุมชน
นอกจากนี้การเป็นเมืองน่าอยู่ยังมีเป้าหมายแฝงเร้นในเชิงของการนำเอาพื้นที่ไปใช้ในการลงทุนธุรกิจและการค้าตามกรอบลัทธิเสรีนิยมใหม่
วิสัยทัศน์การย้ายคนไปนอกเมืองเพื่อสร้างเมืองน่าอยู่
จึงเป็นวาทกรรมที่ใช้สำหรับสร้างสวรรค์สำหรับนักลงทุน นักธุรกิจข้ามชาติ ผู้ประกอบการน้อยใหญ่ รวมถึงชนชั้นกลาง
โดยไม่มีพื้นที่ให้คนเล็กคนน้อยและวิถีชุมชน ดังนั้นจึงเป็นวิสัยทัศน์การพัฒนาที่มีอคติ ลำเอียง
ไม่มีวัฒนธรรม และปราศจากมนุษยธรรม
ความเสมอภาค
:
รากฐานแห่งเมืองของทุกชนชั้น
ในการเสวนา นพพรรณ
พรหมศรี
เอ็นจีโอจากมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
วิพากษ์วิจารณ์นายสมัคร สุนทรเวช
ว่า “ เป็นนายกฯที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย
คิดอะไร จะทำอะไร ก็ไม่เคยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม การพัฒนาเมืองใหญ่ที่เอาใจแต่คนรวย โดยปิดกั้นความคิดเห็นของคนจนจะทำได้อย่างไร ”
ความคิดเห็นนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการสร้างเมืองที่ไม่เท่าเทียม เมืองที่ไม่เสมอภาคของรัฐบาล ซึ่งตรงกันข้ามกับประสบการณ์การพัฒนาในญี่ปุ่นที่ บุญเลิศ
วิเศษปรีชา
นักวิชาการจากคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า “
ในญี่ปุ่นมีชนกลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่าพวก
บุรากุ
คนกลุ่มนี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกีดกันในหลายเรื่อง ทั้งในด้านสถานะทางสังคม การศึกษา
อาชีพ การสมรส รวมถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย แต่แม้ว่าสังคมญี่ปุ่นจะรังเกียจเดียจฉันท์คนกลุ่มนี้ขนาดไหน ในท้ายสุดรัฐบาลก็ยังต้องยินยอมให้พวกบุรากุพัฒนาถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของพวกเขาเองได้ ให้พวกเขาได้ปรับปรุงชุมชน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น โดยไม่ขับไล่หรือรื้อย้ายออกไป ”
เรื่องราวของชาวบุรากุ จึงเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเมืองที่เน้นการมีส่วนร่วม ยอมรับความเสมอภาคเท่าเทียมของผู้คน
เฉกเช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวเพื่อเมืองที่เสมอภาคและเอื้ออาทรในกรุงมะนิลา
เมื่อปี 2540 ที่ชาวสลัม เอ็นจีโอ
และภาคประชาสังคมในฟิลิปปินส์ พยายามขับเคลื่อนนโยบายต่อต้านการไล่รื้อรวมทั้งตรวจสอบการละเมิดสิทธิที่อยู่อาศัยของรัฐบาล กิจกรรมดังกล่าวมีการเชิญ มาร์ติน
ชีน
ดาราดังแห่งฮอลลีวู้ดมาเข้าร่วมการรณรงค์ด้วย
แนวความคิดเรื่องเมืองแห่งความเสมอภาค
จึงเป็นแนวคิดที่ไปด้วยกันได้กับข้อเสนอของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่บ่งบอกไว้ในจดหมายเปิดผนึกต่อรัฐบาลว่า
“
การคัดค้านวิสัยทัศน์ที่จะย้ายสลัมไปนอกเมือง
ไม่ได้หมายความว่าเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ไม่เห็นด้วยกับการสร้างพื้นที่สีเขียว
การสร้างเมืองน่าอยู่
ตรงกันข้ามเราเห็นด้วยกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่อาศัยในเมือง
แต่ความเป็นเมืองน่าอยู่จะต้องมีที่ทางให้กับคนจนและวิถีชุมชนด้วย รูปธรรมแนวคิดเช่นนี้ก็เช่น
การพยายามปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของชุมชนป้อมมหากาฬ ที่มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่อนุรักษ์วิถีวัฒนธรรมของชุมชนไปพร้อมๆกัน
ตัวอย่างของชุมชนป้อมมหากาฬสามารถนำไปขยายผลยังพื้นที่ชุมชนแออัดอื่นๆได้โดยไม่จำเป็นต้องย้ายชุมชนออกไปแล้วสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นแทน
นอกจากนี้หากรัฐบาลต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสร้างสวนสาธารณะ ก็สามารถเวนคืนพื้นที่ที่ไม่มีประโยชน์ทางสังคม
อาทิ
พื้นที่ท่องเที่ยวบันเทิงยามราตรีที่เป็นแหล่งมั่วสุมอบายมุขอันเป็นภัยต่อเด็กและเยาวชนที่มีอยู่หลายแห่งในกรุงเทพฯมาสร้างเป็นสวนสาธารณะได้
”
ความเห็นของเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ต่อการพัฒนาเมือง จึงเป็นวิสัยทัศน์ที่อยากเห็นเมืองที่เสมอภาค
เมืองที่มีพื้นที่และโอกาสที่เท่าเทียมในการใช้ชีวิต และเป็นเมืองสำหรับผู้คนทุกชนชั้น ไม่ใช่เมืองที่คอยผลักไสไล่ส่งคนยากคนจน เพราะดังที่ผู้นำสลัมท่านหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้อย่างลึกซึ้งว่า...เมืองจะเจริญไม่ได้ ถ้าปราศจากคนจน .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น