เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ
ทางเลือกลดความเหลื่อมล้ำ
โดยภาคประชาชน
คมสันติ์
จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เวลาก็ผ่านไปจะเข้าครึ่งปีแล้ว โปรโมชั่นที่รัฐบาลได้มอบไว้เมื่อปลายปี 2559 จากการแจกเงิน ๑,๕๐๐ – ๓,๐๐๐ บาท
สำหรับผู้มีรายได้น้อย การช๊อปปิ้งช่วยห้างร้านและนำมาลดภาษีตนเอง
สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง มาถึง ณ เวลานี้
ความสุขที่รัฐบาลมอบให้คงหมดไปไม่หลงเหลือกลิ่นไอใดๆแล้ว
เพราะเปิดศักราชใหม่มาพร้อมกระแสข่าวรัฐบาลถังแตก
จากกระแสข่าวเงินคงคลังลดลงจนเกิดภาวะวิกฤตส่งผลให้ประชาชนเกิดความกังวลขึ้นมาว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมาแก้ปัญหานี้
ส่วนรัฐบาลเองยังคงให้การปฎิเสธต่อสังคมว่าไม่ได้เกิดวิกฤตถึงขั้นที่เป็นกระแสข่าว แต่กระนั้นรัฐบาลเริ่มที่จะออกมาตรการรัดเข็มขัดขึ้นมาเช่น
การเพิ่มค่าการเก็บขยะมูลฝอยรายครัวเรือน
การไม่เพิ่มเพดานสนับสนุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพ การเก็บภาษีน้ำมันเครื่องบินส่งผลต่อสายการบินโลวคอสอาจจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น
หรือแม้กระทั่งการไม่สนับสนุนแบบเรียนในระดับประถมโดยเปลี่ยนเป็นการให้ยืมแทน ตามมาติดๆกับการเตรียมขึ้นค่าไฟฟ้า มาตรการดังกล่าวล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่าง
ชนชั้นรากหญ้า เหมือนกับการ “เอาคืน”
หากอีกมุมหนึ่งขณะอยู่สถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่รัฐบาลกลับกล้าหาญที่จะอนุมัติงบประมาณในการสั่งซื้อเรือดำน้ำราคาราว
๓6,๐๐๐ ล้านบาท พร้อมทั้งอนุมัติซื้อรถถังมาให้กับกองทัพรวมสองระยะเป็นงบประมาณราว
๗,๐๐๐ ล้านบาท อ้างถึงความมั่นคงของประเทศต้องมาก่อน มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
หากจะเทียบกันกับในส่วนที่รัฐบาลเคยแจก
เคยให้ไว้กับกลุ่มคนชั้นล่างคือการแจกเงิน ๑,๕๐๐ –
๓,๐๐๐ บาท นั้น ใช้งบประมาณแล้วอยู่ราว ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท แต่เมื่อมาดูงบประมาณที่สนับสนุนให้กับกองทัพอยู่ที่ราว
43,๐๐๐ ล้านบาท
ยังไม่นับมาตรการที่รัฐบาลออกมา “เอาคืน”
กับประชาชนที่กล่าวไว้ข้างต้นอีกจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าน้ำหนักที่คณะรัฐบาลชุดนี้เน้นไปในทิศทางใด????
และยิ่งหนักไปกว่านั้นคล้ายดังเป็นการ “ตบหน้าประชาชน”
ฉาดใหญ่ ด้วยการปูนบำเหน็ญให้กับคณะทำงาน คสช. 721 คน
ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่สอดคล้องจากการเข้ามาควบคุมอำนาจ ที่ว่าอาสามาช่วยปฏิรูปประเทศไทย
เพื่อให้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
แต่กลับมาเรียกร้องค่าแรงที่เหนื่อย ที่เสี่ยง ในการยึดอำนาจ ในห้วงสถานการณ์สภวะเศรษฐกิจที่ยังย่ำแย่
ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ มติ ครม. ๑๑ เม.ย. ๖๐ ที่เห็นชอบ
ร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาคตะวันออกอีก ๓ จังหวัด
ร้อนแรงเป็นอย่างมาก
สังคมคัดค้านอย่างวงกว้างพอสมควร
แต่ถ้าหากได้ติดตามเส้นทางการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว จะเห็นว่าแท้จริงแล้วนี่คือหนึ่งในโรดแมฟของทางคณะรัฐประหารชุดนี้ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น
เนื่องจากการเข้าคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.)
เพียงเดือนเดียวก็ได้ออกคำสั่ง คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๗
เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ในเดือน มิถุนายน
๒๕๕๗ เพื่อเป็นคณะกรรมการในการขับเคลื่อนโรดแมฟเขตเศรษกิจให้เป็นรูปธรรม ซึ่งถัดมาอีกหนึ่งปี กนพ. ได้ประชุมสองครั้ง
เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ สองระยะ ๑๐ จังหวัด ดังนี้
ระยะที่ หนึ่ง คือ จังหวัดตาก , สระแก้ว , ตราด , มุกดาหาร
และ สงขลา
ระยะที่ สอง คือ จังหวัดเชียงราย , หนองคาย , นครพนม ,
นราธิวาส และ กาญจนบุรี
โดยสำทับตามด้วยคำสั่ง คสช. ที่ ๑๗/๒๕๕๘
เรื่องการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตอกย้ำการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ เพื่อพยายามสร้างความมั่นใจให้กลุ่มทุนที่จะมาลงทุน
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค และ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
(
P-Move) เป็นกลุ่มประชาชนที่รวมกลุ่มกันเพื่อจะสร้างนโยบายต่างๆให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม กิจกรรมที่เห็นเด่นชัดนั้นจะเป็นเรื่องการผลักดันให้เกิดนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินที่พยายามเสนอแนวทางเลือกของภาคประชาชนในการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยกลุ่มองค์กรชุมชนเอง ได้เริ่มปฏิบัติกันเองโดยประชาชนอย่างเช่น
พื้นที่บ้านไร่ดง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน รวมกลุ่มกันจัดการที่ดินเอกชนที่ปล่อยทิ้งรกร้าง
เข้ามาทำประโยชน์ภายใต้ปรัชญาที่ดินควรต้องเป็นของผู้ถือคันไถ และนี่คือจุดเริ่มต้นโฉนดชุมชน
ที่ชาวบ้านได้ร่วมกันทำอย่างง่ายๆ แต่มีคุณค่าความหมายยิ่งสำหรับ ชาวบ้านไร่ดง มีการจัดทำระบุข้อมูล
ชื่อ-นามสกุลผู้ถือครอง จำนวน 1 ไร่ 1 งาน
พร้อมด้วยแผนที่แบ่งกั้นอาณาเขตอย่างชัดเจน ที่น่าสนใจก็คือ ในแผ่นโฉนดที่ดินชุมชนแต่ละฉบับนั้น
จะมีลายมือชื่อของผู้ถือครอง กรรมการและพยานกำกับ พร้อมข้อระเบียบให้รับรู้อย่างชัดเจน
ซึ่งสิทธิในที่ดินมีดังนี้
1.เป็นมรดกตกทอด ห้ามซื้อขายที่ดิน
2.ปฏิบัติตามกฎระเบียบของคณะกรรมการและชุมชน
3.ขอให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตลอดไป
ข้อความสั้นๆ
ชัดเจน เข้าใจง่าย แต่ครอบคลุมถึงชีวิตและวิถีการดำรงอยู่ของชาวบ้านทั้งหมด
ทั้งชีวิต ทั้งปัจจุบันและอนาคต


ชุมชนคลองไทรพัฒนา อยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลไทรทอง อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้านเข้าตรวจสอบพื้นที่ซึ่งบริษัท
จิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด
ครอบครองปลูกปาล์มน้ำมันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินมาจัดสรรให้กับเกษตรกร
เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้และต่อมาทางกรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นพื้นที่ปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม
มีชาวบ้านที่ร่วมกันตรวจสอบและตั้งชุมชน มาตั้งแต่ปี 2546-2551 ดำเนินการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน เพื่อให้ สปก. ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล
แต่กลับถูกกดดันข่มขู่ คุกคาม ลอบสังหาร จากกลุ่มอิทธิพลที่ดูแลจัดการผลประโยชน์ให้บริษัทฯตลอดมา
ชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู เขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า
จ.ตรังและพัทลุง โดยบ้านทับเขือ ตั้งอยู่บริเวณ หมู่1 ต.ช่อง อ.นาโยง
จ.ตรัง และบ้านปลักหมู" ตั้งอยู่บริเวณ หมู่1 ต.บ้านนา
อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง มีชาวบ้านอาศัยอยู่จำนวน 38ครัวเรือน
สมาชิก 193คน เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เป็นชุมชนจัดการทรัพยากรที่ดินโดยประชาชนเอง ที่นี่อยู่อาศัยกันมาอย่างยาวนาน จนเกิด
“ธรรมนูญชุมชน” ขึ้นมา
ชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายสลัม ๔
ภาค ได้ผลักดันมติคณะกรรมการรถไฟฯเพื่อขอเช่าที่ดินมาแก้ปัญหาที่อยู่อาศักว่า 50 ชุมชน ทั่วประเทศ
บ้างได้เช่าระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง ๓ ปีต่อครั้ง บ้างได้เช่าระยะยาว ๓๐ ปี
ที่สำคัญเป็นการเช่าแบบแปลงรวม
การจัดการที่ดินโดยชุมชน มีระบบ
ระเบียบ ชุมชนเพื่อดูแลรัษาที่ดินไม่ให้หลุดมือ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างชุมชนที่มีการจัดการที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาล ตรงข้ามรัฐบาลกลับมีนโยบายซ้ำเติมลงมาชาวบ้านกลุ่มเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นนโยบายทวงคืนผืนป่า
ที่เน้นทวงคืนกับชาวบ้านคนจน
บุกกวาดจับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในผืนป่ามายาวนาน
ฉะนั้นรัฐบาลไม่ต้องแปลกใจทำไมประชาชนรากหญ้าถึงมีความรู้สึกรับไม่ได้กับการออกกฎหมายให้ชาวต่างชาติสามารถเช่าที่ดินได้ยาวนานถึง
๙๙ ปี ทั้งๆนี่คือ “เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ”
ที่รัฐบาลมองข้าม
เครือข่ายสลัม
4 ภาค และ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (Pmove)
ยังคงต้องผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมทั้งในพื้นที่ชุมชนดังที่กล่าวข้างต้น
และระดับนโยบายที่ยังคงต้องผลักดัน ติดตาม
กันอย่างใกล้ชิด
กฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า
ต้องกระจายการถือครองที่ดินโดยใช้ระบบภาษีครองที่ดินมากจ่ายภาษีมากในอัตราที่ก้าวหน้า
เพื่อให้เหล่าเจ้าที่ดินทั้งหลายได้ปล่อยที่ดินมา
ธนาคารที่ดิน
ที่คาดหวังจะให้เป็นที่เก็บที่ดินไว้สำหรับให้คนจนไร้ที่ดินได้มาหาที่ดินเพื่อไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการทำกิน
หรือที่อยู่อาศัย
การได้มาของที่ดินส่วนหนึ่งจะเชื่อมโยงจากการกระจายการถือครองที่ดินโดยภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เพื่อเป็นที่รองรับสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะครองที่ดินไว้จำนวนมาก รวมถึงการได้มาของที่ดินจากที่ดินที่เป็น NPL ตามบรรษัทต่างๆ
หรือกรมบังคับคดี เป็น Land Bank ชั้นยอดสำหรับผู้ยากไร้
การจัดการที่ดินโดยชุมชน
หรือ “โฉนดชุมชน” สร้างเขตพื้นที่ชุมชนเป็น เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ ขึ้นมาเพื่อการบริหารจัดการที่ดินเป็นกลุ่มองค์กรชุมชน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดที่ดินหลุดมือออกไปอยู่กับกลุ่มทุนอีก สร้างระบบรักษาที่ดินโดยชุมชน
กองทุนยุติธรรม
การพิพาทที่ดินจำนวนมากไม่ว่ารัฐ กับ ประชาชน หรือ กลุ่มทุน กับชนชั้นรากหญ้า สร้างคดีมากมายให้กับประชาชน
การที่ประชาชนคนจนมีกองทุนไว้เพื่อประกันตัวมาสู้คดีนอกคุก
สร้างการมีศักดิ์ศรีในการต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียมกับรัฐ หรือกลุ่มทุนได้
นี่คือนโยบายสำคัญที่ภาคประชาชนพยายามผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม และสามารถนำไปใช้ได้จริง แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นคือไม่ได้รับความสำคัญจากรัฐบาล การปรับแก้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเล็กน้อย
เพื่อลดกระแสการเคลื่อนไหวภาษีที่ดินแบบอัตราก้าวหน้าลง
การปรับแก้เจตนารมณ์ธนาคารที่ดินจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การเข้าถึงกองทุนยุติธรรมอย่างยากลำบาก
เกิดการตัดสินตั้งแต่กระบวนการขอการสนับสนุนเงินประกันตัว
และโฉนดชุมชนที่กลุ่มชาวบ้านคาดหวังจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่ สร้างความมั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยอีกทางหนึ่ง
นอกจากรัฐบาลนี้จะไม่ให้ความสำคัญโดยการไม่แต่งตั้งประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน
(ปจช.) ซ้ำเติมด้วยการดำเนินปราบปราม
จับกุม ดำเนินคดี กับชาวบ้านที่อยู่ใน “เขตพื้นที่พัฒนาชุมชนพิเศษ”
ในรูปแบบโฉนดชุมชน
ดังนั้นมาตรการต่างๆที่เพิ่มภาระให้กับประชาชน รัฐบาลควรทบทวนยกเลิกไปเสีย อย่าได้สร้างแรงกดดันประชาชนจนหลังพิงฝาหมดทางเลือก แล้วต้องลุกฮือขึ้นมาทวงสิทธิ เสรีภาพ ที่หายไป
!!! และให้หยิบแนวทางการพัฒนาโดยชุมชน
ที่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาประเทศขึ้นมาพิจารณา จึงจะเป็นทิศทาง
ยุทธศาสตร์ของประชาชนโดยแท้จริง.