โฉนดชุมชน ชุมชนก้าวใหม่
การจัดการทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วมโดยแท้จริง
(1)
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เมื่อวันที่
27 พ.ค. 61 มีกิจกรรมการปลูกป่าตามมาตรการเร่งด่วนที่ต้องฟื้นฟูพื้นที่บริเวณจุดก่อสร้างโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการ
สำนักงานศาลอุทธรณ์ภาค 5
บริเวณเชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากมีปัญหาการคัดค้านจากประชาชน โดยมี นายธัญญา
เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นประธาน กิจกรรมนี้เน้นการปลูกต้นไม้ที่รอบๆ
พื้นดินที่ไม่อยู่ในเขตอาคารบนพื้นที่ 23 ไร่ จำนวน 300
กล้า ส่วนจุดอื่นต้องรอการส่งมอบพื้นที่และผลสรุปจากคณะทำงานก่อนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป
นับเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ปัญหาสร้างป่ากลับมาให้คงเดิมหลังจากมีการคัดค้านโครงการก่อสร้างจากประชาชน
หลังจบกิจกรรมอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช
ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน (ข่าวการให้สัมภาษณ์ https://goo.gl/PAjrv8 ) สิ่งที่น่าสนใจคือ
คำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมอุทยานฯมีนัยยะสำคัญในด้านการจัดสรร จัดประโยชน์
ที่มีอยู่ปัจจุบันให้เกิดผลดีมากที่สุดโดยไม่เกิดผลกระทบใดๆต่อสิ่งปลูกสร้างในเขตป่า เนื่องจากหลักการดังกล่าวภาคประชาชนที่เคลื่อนไหว
“คนอยู่กับป่า” ถูกปฎิเสธตลอดมา
ปัญหาป่ารุกที่คน หรือคนรุกที่ป่านั้น
เริ่มมีมาตั้งแต่การประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ปี พ.ศ. 2497
และเริ่มมีกฎหมายอุทยานฯ พ.ศ. 2504 เกิดขึ้นมา
ความพยายามขีดเส้นแนวเขตพื้นที่ต่างๆภายใต้ความไม่พร้อมของประชาชนที่อาศัยอยู่ในป่า
ในเขา หรือยากจน
ไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้การประกาศแนวเขตพื้นที่สาธารณะ แนวเขตพื้นที่ป่าต่างๆ ไปส่งผลกระทบของผู้ที่อยู่อาศัยไปด้วย กลุ่มคนดังกล่าวกลายเป็นคนบุกรุกแบบไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีคือเมื่อมีหมายเรียก หรือ
หมายศาล มาแปะที่บ้านพักอาศัยของตนเอง
การผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนมีมากว่า
30 ปี เป็นการชูวิถีและวัฒนธรรม เพื่อปกป้องรักษาที่ดิน ที่อยู่อาศัย
ของตนเอง ให้หลุดพ้นจากการรุกรานของการพัฒนาเมืองที่พยายามจะกอบโกยทรัพยากรไว้เพียงบางกลุ่มซึ่งได้ปรากฎมาแล้วคือกลุ่มทุนเอกชนรายใหญ่ และการครอบครองโดยรัฐ การบวชป่าเพื่อปกป้องการรุกรานของการพัฒนาคนเมือง
จนพัฒนามาถึงการระดมเข้ารายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย พรบ.ป่าชุมชน ในช่วงปี พ.ศ. 2540
หลังจากที่ได้รัฐธรรมนูญใหม่
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ถูกหน่วยงานต่างๆเข้ามาแก้ไขเนื้อหาจนเปลี่ยนเจตนารมณ์ความตั้งใจของประชาชนออกไปจนหมดสิ้น
ในปี
พ.ศ. 2551 การรวมตัวกันของผู้เดือดร้อนที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยในนาม “เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย”
ได้ริเริ่มที่จะผลักดันนโยบายโฉนดชุมชน ที่เป็นแนวความคิดพัฒนามาจากการดูแลพื้นที่ชุมชนตนเองจาก
สรุปบทเรียนการแก้ปัญหาที่ดินของรัฐในรูปแบบการแจกที่ดินรายปัจเจก และเพื่อเป็นการปลดล็อกการใช้ที่รัฐมาแก้ปัญหาที่ทำกิน
และที่อยู่อาศัย ของคนจน
เน้นการบริหารทรัพยากรโดยชุมชน
การเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ที่ดินเกิดขึ้นภายใต้การประชาคมในชุมชนถึงความเหมาะสม
และสอดคล้องกับกติกาหรือธรรมนูญชุมชนที่ได้ตั้งไว้
ชุมชนก้าวใหม่
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เป็นชุมชนสมาชิกของสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
ที่เคลื่อนไหวการปฏิรูปที่ดินให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
(ขปส.) ชุมชนก้าวใหม่มีสมาชิก 88 ครอบครัว
เป็นชุมชนที่มาจากการรวมตัวของเกษตรกรไร้ที่ดินทำกินที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์และจังหวัดใกล้เคียง เข้ามาใช้ที่ดิน สปก.
ที่หมดสัมปทานจากบริษัทเอกชน
มีการออกแบบจัดการทรัพยากรที่ดินตามแนวหลักคิดโฉนดชุมชน มีกติกาชุมชนและจัดแบ่งพื้นที่ที่เท่ากันในทุกครอบครัว มีพื้นที่ส่วนกลางที่จะต้องช่วยกันดูแล
และใช้ประโยชน์ร่วมกัน
การเกษตรที่ชุมชนก้าวใหม่ เป็นเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชา ไม่มุ่งเน้นพืชเศรษฐกิจล้วน อยู่ร่วมกันมานานมีกติกาชุมชนหรือธรรมนูญชุมชนใช้ร่วมกัน
ผลผลิตของพืชพันธุ์ต่างๆที่เพาะปลูกในชุมชนก้าวใหม่
แต่หลังจากที่ส.ป.ก. เริ่มดำเนินการจัดที่ดินในรูปแบบของ คทช.
ซึ่งมีการดำเนินการปรับแผนผังชุมชนใหม่ และได้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) ขึ้นมา การนำที่ดินของ สปก. มาจัดให้กับประชาชนตามแนว คทช.
ซึ่งความต่างกันคือ โฉนดชุมชนเน้นการบริหารทรัพยากรโดยชุมชนร่วมกัน แต่ คทช. พยายามจะเน้นเจกเป็นรายปัจเจก
อีกทั้งในการจัดที่ดินบนที่ตั้งของชุมชนก้าวใหม่ คทช.
จังหวัดสุราษฎร์ฯ เริ่มดำเนินการรังวัดที่ดินใหม่ เตรียมพื้นที่สำหรับทำถนนซอย และยังมีการตัดพืชผลทางการเกษตรที่สมาชิกในชุมชนปลูกสร้างไว้ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชุมชน
ทั้งๆที่ชุมชนก้าวใหม่มีการจัดสรรแบ่งแปลงตามกติกา หากแต่หน่วยงานรัฐยังยืนกรานที่จะต้องปรับผัง-แบ่งแปลงที่ดินตามที่พวกเขาออกแบบเท่านั้น
ย้อนกลับถ้านำเอาหลักคิด หลักการ
ของอธิบดีกรมอุทธยานฯมาใช้ นอกจากพืชผล
ต้นไม้ บ้านเรือน ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำลายสิ่งเหล่านั้นที่ชุมชนได้คิดค้น
ปฎิบัติกันมาจนเป็นระเบียบเรียบร้อย
ที่สำคัญพื้นที่ สปก. ที่ชุมชนตั้งอยู่นั้น หากไม่มีกลุ่มประชาชนเหล่านี้เข้าไปทำประโยชน์ที่ดินยังคงตกเป็นของกลุ่มนายทุนที่หมดสัมปทาน แต่ไม่ยอมคืนพื้นที่ให้กับ สปก.
และยังคงทำประโยชน์ไปเรื่อยๆโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆให้กับรัฐ จนกระทั่งสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
ได้ทราบข้อมูลเหล่านั้นประกอบกับมีประชาชนที่ขาดแคลนที่ดินทำกินจึงได้เริ่มรวมตัวกันเพื่อให้เกิดกระบวนการ
“คืนพื้นที่ให้กับ สปก.” เพื่อประชาชนที่ไร้ที่ดินจะสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้
สิ่งเหล่านี้เองเป็นบทพิสูจน์ถึงการใช้ที่ดินโดยไม่ได้คำนึงถึงการเก็งกำไรค้าที่ดิน แต่มองเห็นที่ดินเป็นสิ่งสำคัญในปัจจัยการผลิต
ที่คู่ควรแก่ผู้ผลิตตัวจริงที่ควรจะได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเต็มที่ ดังนั้นโฉนดชุมชน หรือ การจัดการทรัพยากรโดยชุมชน
จึงสามารถเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาได้
และไม่ควรยึดติดกับการแก้ปัญหาที่จะต้องมีรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับบางพื้นที่ได้
ส่งผลให้เกิดกรณีปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกอย่างเช่นโครงการเก่าๆในอดีตที่ผ่านมา
เช่น โครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.)
ในปี พ.ศ. 2533 ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด แบบไหน
หากไม่มองเห็นถึงข้อเสนอภาคประชาชนที่มีความจริงใจในการพัฒนาร่วมกันแล้ว การแก้ปัญหาที่จะให้ตรงจุดและสำเร็จย่อมจะทำได้ลำบาก หรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ โมเดลที่ประชาชนสร้างขึ้นมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างกรณีชุมชนก้าวใหม่
จังหวัดสุราษณ์ธานี จึงเป็นกรณีศึกษา
และนำมาทดลองใช้ในอีกหลายพื้นที่ที่สามารถใช้ตามโมเดลนี้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น