โฉนดชุมชน ปฎิรูปที่ดินการรถไฟฯเพื่อที่อยู่อาศัยคนจน
การจัดการทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วมโดยแท้จริง
(2)
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
แนวคิดการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยชุมชนไม่ได้มีเพียงในพื้นที่เขตป่า
หรือภาคชนบทเท่านั้น ในภาคเมืองแนวคิดการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยชุมชนมีส่วนร่วมก็ได้ดำเนินการมานานระยะหนึ่งแล้วเช่นกัน
ปัญหาการเข้าไม่ถึงที่ดินของคนจนเมืองโดยส่วนใหญ่แล้วมาจากการพัฒนาประเทศในภาคชนบทล้มเหลวของรัฐบาล
อีกส่วนคือการรับมือต่อการพัฒนาเขตเมืองที่ต้องการแรงงานจำนวนมากไม่ได้
การเตรียมที่อยู่อาศัยรองรับสำหรับแรงงานที่จะเคลื่อนย้ายจากชนบทมาสู่เมืองจำนวนมหาศาล
ทำให้แรงงานส่วนใหญ่จะหาที่พักอาศัยกันตามที่รกร้างว่างเปล่าใกล้แหล่งทำงาน
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้เคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองมาอย่างยาวนานกว่า
20 ปี
ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่เด่นชัดก็คงเป็นการกระจายที่รัฐที่แต่เดิมหวงแหนไว้เพียงกลุ่มทุนได้ใช้เท่านั้น
การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีที่ดินจำนวนมากกระจายตามภูมิภาคของประเทศ ซึ่งมีทั้งในตัวเมือง และชานเมืองชนบท ถ้าหากสังเกตจะในการเดินทางโดยรถไฟ
ก่อนเข้าสถานีแต่ละสถานีจะเริ่มเห็นบ้านเรือนปลูกเรียงรายข้างทางเป็นสัญญาณบอกกลายๆว่าใกล้จะถึงสถานีใดสถานีหนึ่งแล้ว
สภาพชุมชนสองข้างทางรถไฟ
การเข้ามาอยู่ในที่ดินของการรถไฟฯนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
หากแต่เป็นความต้องการแรงงานในการขับเคลื่อนรถไฟเองที่สมัยก่อนนั้นเป็นรถไฟหัวรถจักรแบบไอน้ำ ที่ต้องใช้แรงงานในการโยนฟืน แรงงานในการขนฟืน
ซึ่งแรงงานเหล่านั้นมักจะได้รับความอำนวยความสะดวกในเรื่องที่อยู่อาศัยจากนายสถานี
และส่วนใหญ่ชุมชนในย่านสถานีรถไฟก็มักจะเป็นกลุ่มคนเหล่านี้ที่เป็นกลุ่มแรกๆในการเข้ามาอยู่ในพื้นที่
และเกิดการชักชวน ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของ “นายสถานี”
ของแต่ละแห่ง
แต่การบริหารการเดินรถของการรถไฟฯที่ต้องมุ่งเน้นบริการประชาชนเป็ฯหลักส่งผลให้ขาดทุนของตัวองค์กรเป็นจำนวนมาก จึงเกิดแนวความคิดถึงเรื่องการหยิบที่ดินที่มีอยู่มาหาแสวงหาผลกำไรให้กับองค์กรตนเองเพื่อไปชดเชยในส่วนที่ขาดทุนไป ซึ่งเราจะเห็นตามข่าวอยู่เนืองๆเรื่องการต่อสัญญาเช่าของกลุ่มทุนรายใหญ่ของห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว
หรือแม้แต่สวนจตุจักรเอง
ที่การต่อสัญญาที่ดินแต่ละครั้งต้องมีการเจรจา ต่อรอง
กันอย่างหนักหน่วงในเรื่องรายละเอียดของสัญญา
แต่นั้นยังพอที่จะเข้าใจกันได้ว่าเป็นการดำเนินการในเชิงธุรกิจกัน
และไม่ส่งผลกระทบกับกลุ่มคนอื่นสักเท่าไหร่นัก
แต่การนำที่ดินของการรถไฟฯให้กลุ่มทุนได้ใช้ประโยชน์ในรูปแบบการเช่าไม่ได้เป็นแบบข้างต้นทุกกรณี
หากยังมีกรณีที่นำที่ดินที่มีชุมชนตั้งอยู่เดิมแล้วนำไปให้กลุ่มทุนประมูลเช่าที่ดิน และกลุ่มทุนใดชนะการประมูลก็จะเข้าดำเนินคดีกับชาวชุมชนนั้นทันที โดยมี “การรถไฟฯร่วมเป็นโจทก์” ด้วย
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นที่กลุ่มคนจนที่เป็นคนสร้างมูลค่าที่ดินตัวจริงคือกลุ่มคนที่เข้ามาอยู่แรกๆตั้งแต่เป็นป่ารกร้าง
จนสร้างเป็นชุมชนขึ้นมา
และที่ผ่านคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ไม่ได้เข้ามาอยู่ฟรีๆ
แต่เขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เคยจ่ายค่าเช่าให้กับ นายสถานี
แล้วทั้งนั้น
แต่ครั้นพอมีกลุ่มทุนที่จะให้เงินจำนวนมากการเช่าเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธลง แปรเปลี่ยนสภาพจากผู้บุกเบิก ผู้เช่า
กลายเป็นผู้บุกรุกในทันที
แสดงให้เห็นการสร้างความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจน
ปฎิบัติการเคลื่อนไหวสร้างความเป็นธรรมทางสังคมของเครือข่ายสลัม
4 ภาค เริ่มขึ้นจากปรากฎการณ์ดังกล่าว ชาวชุมชนในที่ดินของการรถไฟกว่า 3,000 คน
ไปชุมนุมเรียกร้องเพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาจนได้นโยบายการใช้ที่ดินการรถไฟฯเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยขึ้นมาตาม
มติคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.
2543
ที่เปิดโอกาสให้คนจนได้เช่าที่ดินการรถไฟระยะยาวมีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากลุ่มทุนที่มีเงิน
การได้ที่ดินมาอย่างมีศักดิ์ศรีเป็นจุดเริ่มต้นการจัดการที่ดินโดยชุมชน ซึ่งที่ดินที่เช่ามาเป็นแปลงใหญ่ แปลงรวม
การจัดสรรแบ่งแปลงกันจัดการโดยชุมชนร่วมกันออกแบบวางผังกัน จนเกิดเป็นชุมชนที่สวยงาม
เป็นระเบียบขึ้นมา ส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดินจะเป็นไปตามมติชุมชนทุกครั้งหากมีการเปลี่ยนมือจากสิทธิ์เดิมสู่ทายาท จะไม่สามารถดำเนินการโดยปัจเจกได้ป้องกันการซื้อ-ขาย
สิทธี่ดินกันตามนโยบายโฉนดชุมชนอย่างแท้จริง
สภาพที่อยู่อาศัยเดิม ชุมชนบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม.
สภาพที่อยู่อาศัยหลังการได้เช่าที่ดิน ชุมชนบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม.
อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น “โฉนดชุมชน” ไม่ได้ตอบโจทย์แค่การใช้ที่ดินแต่ยังตอบโจทย์ในเรื่องการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง รักษาชุมชนให้คงอยู่ได้ไม่ล่มสลาย
ที่สำคัญที่ดินไม่หลุดเข้าวงจรตลาดค้าที่ดินอีกต่อไป
หากจะเป็นการดีแนวนโยบายของรัฐการจัดการที่ดินของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) จะมีหัวใจหลักที่เหมือนกับแนวนโยบายภาคประชาชนคือโฉนดชุมชน
ที่จะเสริมหนุนกันพัฒนาสร้างชุมชนให้เข้มแข็งร่วมกันต่อไป !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น