ปฏิรูปที่ดินเมืองในพื้นที่การรถไฟฯ
ประสบการณ์การต่อสู้ของเครือข่ายสลัม
4 ภาค
อัภยุทย์ จันทรพา ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
1)
ความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย : ใจกลางของปัญหาสลัม
สลัมหรือชุมชนแออัด เป็นผลพวงมาจากแนวทางการพัฒนาประเทศที่ไม่สมดุล ซึ่งเริ่มต้นมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติฉบับแรก ทิศทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมและเมือง
โดยละเลยการพัฒนาระบบเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในชนบท
ได้ทำให้ผู้คนที่ล้มละลายจากภาคการเกษตรเข้ามาแสวงหาแหล่งงานและโอกาสของชีวิตในเมือง ทั้งในกรุงเทพมหานครและตามหัวเมืองภูมิภาค ผู้อพยพเหล่านี้
เมื่อไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ เพราะที่ดินมีราคาแพง ประกอบกับภาครัฐขาดมาตรการรองรับด้านที่อยู่อาศัยอย่างพอเพียง
จึงจำเป็นต้องบุกเบิกที่ดินว่างเปล่าใกล้แหล่งงานเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งได้ขยายกลายเป็นชุมชนแออัดในที่สุด
จากฐานที่มาดังกล่าว คนสลัมจึงเป็น ผู้บุกเบิกถิ่นฐานในเมือง พวกเขาลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำ แม้จะแออัดและดูไม่เป็นระเบียบ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลอย่างมหาศาล นอกจากนี้
การดำรงอยู่ของชาวสลัมยังเกี่ยวพันอย่างมากกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมือง ภาคการผลิต
พาณิชยกรรม
การก่อสร้างและธุรกิจบริการ
ต่างต้องพึ่งพาแรงงานจากชุมชน
งานหนักและอาชีพที่ไม่มีใครอยากทำ เป็นต้นว่า เก็บขยะ กวาดถนน
ขับรถเมล์ ฯลฯ ก็ล้วนแต่คนสลัมทำ
ปัจจุบันมีชุมชนแออัดทั่วประเทศประมาณ
3,750 ชุมชน 1.14 ล้านครอบครัว ประชากร 5.13 ล้านคน นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ –
รายได้ ปัญหาด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว
กล่าวได้ว่าปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยหรือปัญหาการไล่รื้อ คือปัญหาหัวใจสำคัญของชาวสลัม ตัวเลขของทางการระบุว่า ขณะนี้มีชุมชนที่มีปัญหาเรื่องการรื้อย้าย 445
ชุมชน กำลังอยู่ในระหว่างการไล่ที่ 180
ชุมชน และที่มีกระแสข่าวว่าจะไล่ประมาณ
265 ชุมชน ทั้งสองส่วนมีประชากรที่จะได้รับผลกระทบจากการไล่รื้อราว 2 แสนคน
2)
ที่ดินชานเมืองและแฟลต : การแก้ปัญหาที่ไม่เข้าใจวิถีชุมชน
ที่ผ่านมา แนวทางกระแสหลักที่ภาครัฐใช้ในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนมีอยู่
2 แนวใหญ่ๆคือ การย้ายชุมชนไปอยู่นอกเมือง
และการย้ายขึ้นแฟลต
สำหรับแนวทางแรกทำได้ 2 ลักษณะ คือ การไปเช่าซื้อที่ดินแปลงโล่งขนาด 19.5 ตารางวา
ของการเคหะแห่งชาติ ที่จัดโครงการรองรับไว้ตามย่านชานเมือง แล้วชาวชุมชนปลูกบ้านเอง
หรืออีกแบบหนึ่งคือ
ชุมชนอาจรวมตัวกันเป็นกลุ่มออมทรัพย์
แล้วกู้ยืมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง (
ปัจจุบันพัฒนามาเป็นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ) ไปเลือกหาซื้อที่เอง อย่างไรก็ตามที่ดินที่ชุมชนสามารถซื้อได้ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่นอกเมือง
เพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่เปิดให้มีการกักตุนและเก็งกำไรที่ดินได้ทำให้ราคาที่ดินในเมืองแพงเกินกว่ากำลังซื้อของชาวสลัม ส่วนแนวทางที่สองคือ การทำโครงการสร้างแฟลตโดยหน่วยงานต่างๆ เช่น
การเคหะฯ การท่าเรือ กรุงเทพมหานคร แล้วให้ชาวสลัมเช่าหรือเช่าซื้อ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแนวทางเป็นการแก้ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา การย้ายชุมชนออกนอกเมือง หากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ การพาคนไปอยู่ห่างไกลแหล่งงานเดิมของชาวสลัม ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานนอกระบบในเมือง เช่น
กรรมกร ลูกจ้าง คนเก็บของเก่า แม่ค้าหาบเร่ ฯลฯ
คนที่ยึดอาชีพเหล่านี้
ครั้นจะกลับมาทำงานในเมืองที่ต้องเสียเวลาและค่าเดินทางที่แพงขึ้น อีกทั้งยังต้องเสียเงินผ่อนชำระค่าที่ดิน สินเชื่อปลูกบ้าน
และเมื่อรายได้ลดลงแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ชุมชนใหม่ไม่ได้ ก็ต้องเซ้งสิทธิกลับเข้ามาบุกเบิกชุมชนในเมืองอีก
ส่วนแฟลตแม้จะเป็นที่อยู่อาศัยดูเป็นระเบียบ
สวยงาม
แต่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนสลัมที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่บ้านเป็นที่ประกอบอาชีพด้วย เช่น
เป็นที่ตัดเย็บเสื้อผ้าของแม่บ้านที่รับงานมาทำที่บ้าน เป็นที่คัดแยกขยะของคนหาของเก่า
เป็นที่ประกอบอาหารของพวกแม่ค้าหาบเร่ต่างๆ
นอกจากนี้ลักษณะครอบครัวแบบกึ่งชนบทของชาวสลัม ที่เป็นครอบครัวขยายมีคนในครอบครัวมากทำให้ไม่สามารถอยู่ในห้องแคบๆแบบแฟลตที่มีเนื้อที่ขนาด
24 ตารางเมตร
ได้
รูปแบบการอยู่อาศัยในอาคารสูงแบบแฟลตจึงเหมาะสมกับวิถีชีวิตคนชั้นกลาง
และครอบครัวรายได้น้อยทั่วไป ที่เป็นครอบครัวเดี่ยวและใช้พื้นที่บ้านเพียงที่อยู่อาศัยอย่างเดียวมากกว่า
3)
ปรับปรุงชุมชน ให้สิทธิในที่ดิน :
ยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัยของชาวสลัม
แนวทางการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยที่ตรงกับความต้องการของชาวสลัม
คือ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม
หรือหากในกรณีที่จำเป็นต้องรื้อย้ายชุมชนจริงๆ ก็ต้องจัดหาพื้นที่รองรับในละแวกใกล้เคียงกับถิ่นที่อยู่เดิม
เพื่อให้คนสลัมมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและสามารถดำรงชีวิตในฐานะแรงงานของเมืองได้อย่างยั่งยืน
แนวทางแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยดังกล่าวสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับคำประกาศของสหประชาชาติเนื่องในวันที่อยู่อาศัยสากล
ประจำปี 2544 ที่กล่าวว่า “เมืองต้องปราศจากสลัม / Cities without Slum”
คำประกาศนี้ไม่ได้หมายความว่าให้กำจัดสลัมโดยการรื้อย้ายชุมชนไปนอกเมือง ( Slum Clearance )
หากแต่เป็นการเรียกร้องต่อประชาชาติต่างๆว่าต้องมีแผนปรับปรุงสภาพชุมชนให้พ้นความเป็นสลัม
ต้องแก้ไขปัญหาชุมชนบุกรุกด้วยการปรับเปลี่ยนสถานภาพให้ถูกต้องมั่นคง และที่สำคัญต้องให้หลักประกันในสิทธิที่อยู่อาศัยระยะยาวแก่ชุมชน
แนวทางแก้ไขปัญหาที่เน้นการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม เคยนำมาปฏิบัติใช้กับชุมชนเซ่งกี่ ในปี 2529 – 2530
โดยชาวชุมชนซึ่งในขณะนั้นประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย เจรจาขอซื้อที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ ในลักษณะของการแบ่งปันที่ดิน ( LAND
SHARING ) ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างเจ้าของที่ดินกับชุมชน
กล่าวคือ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ยินยอมขายที่ดินบางส่วนให้กับชาวชุมชนผ่อนซื้อในราคาต่ำกว่าท้องตลาด
เพื่อนำมาจัดผังที่อยู่อาศัยใหม่ให้เป็นระเบียบ โดยลดขนาดที่อยู่อาศัยเหลือแปลงละ 5.4 ตารางวา และ 10 ตารางวา
ผังชุมชนที่จัดใหม่ทำให้เหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งคืนให้กับเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจพาณิชย์ได้
นอกจากโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนเซ่งกี่แล้ว
ชุมชนแออัดที่ใช้แนวทางการแบ่งปันที่ดินมาพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคนั้น ก็เช่น
ชุมชนวัดลาดบัวขาว ชุมชนหลังบ้านมนังคศิลา
และชุมชน 70 ไร่
คลองเตย
ชุมชนวัดลาดบัวขาวใช้วิธีขอซื้อที่ดินบางส่วนจากเจ้าของที่ดินเอกชน ส่วนชุมชนหลังบ้านมนังฯ และชุมชน 70 ไร่
เนื่องจากอยู่ในที่ดินของหน่วยงานราชการ คือ กรมธนารักษ์ และการท่าเรือ
จึงใช้วิธีขอเช่าที่จากหน่วยงานเจ้าของที่
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่โครงการตัวอย่างเหล่านี้
ซึ่งเน้นการปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม เพื่อให้คนสลัมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเมือง
ไม่สามารถขยายผลไปเป็นกระแสหลักในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดได้ ทั้งนี้เพราะอุปสรรคเรื่องที่ดิน หน่วยงานรัฐต่างๆไม่อยากแบ่งปันที่ดินของตนให้ชาวชุมชนเช่าอยู่อาศัยระยะยาว
เนื่องจากต้องการนำที่ดินไปใช้เชิงธุรกิจรวมทั้งพัฒนาโครงการต่างๆ ภาคเอกชนก็เช่นกัน
ผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
คือแรงจูงใจสำคัญในการเลือกแนวทางแก้ไขปัญหาแบบรื้อย้ายชุมชน
4)
ปฏิรูปที่ดินเมืองในพื้นที่การรถไฟฯ : การสานต่อยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัยของคนจน
เพื่อสานต่อยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัยของชาวสลัม
ด้วยการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดิม เครือข่ายสลัม 4 ภาค
จึงทำการรณรงค์ในประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง
โดยผลักดันการเช่าที่ดินระยะยาว 30 ปี กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
การรถไฟฯ
เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม
ที่ครอบครองที่ดินไว้กว่า 200,000 ไร่
ในจำนวนนี้มีที่ดินในเขตเมืองที่สามารถจัดหาประโยชน์ถึง 50,000 ไร่ อย่างไรก็ตามการรถไฟฯ
มักนำเอาที่ดินที่จัดหาประโยชน์ได้ไปให้ภาคธุรกิจเอกชนเช่าทำโครงการแสวงหากำไร
อาทิ ศูนย์การค้า โรงแรม สถานบันเทิง
ส่งผลให้เกิดการขับไล่ผู้อยู่อาศัยเดิมที่เป็นชาวสลัมในที่ดินของการรถไฟฯอยู่เสมอ
นอกจากการเอาที่ดินให้คนรวยเช่าแล้ว
การรถไฟฯยังนำที่ดินออกเปิดประมูลให้นักลงทุนข้ามชาติเข้ามาสัมปทาน ดังกรณีการให้บริษัทโฮปเวลล์จากฮ่องกง ทำโครงการรถไฟฟ้าและพัฒนาที่ดินบริเวณ 2
ข้างทางรถไฟในปี 2538
แม้ในท้ายสุดโครงการจะล้มละลายแต่ก็ทำให้ชาวสลัมเกือบ 3,000 ครอบครัว
ต้องถูกขับไล่ไปอยู่ในที่ดินของการเคหะฯที่อยู่ห่างจากพื้นที่เดิมของชุมชนถึง
40 กิโลเมตร
การแสวงประโยชน์จากมรดกที่ดินไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ปี 2541 การรถไฟฯ ได้ออกประกาศเชิญชวนให้นักลงทุนมาเช่าที่ โดยอ้างว่าประสบกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องถึง
40,000 ล้านบาท
ดังนั้นจึงต้องหาเงินชดเชยจาการเปิดให้เช่าที่ดิน นโยบายเปิดประมูลที่ดินในครั้งนั้นได้สร้างความหวั่นวิตกแก่ชาวสลัมในพื้นที่การรถไฟฯซึ่งมีอยู่ราว
110 ชุมชน ประชากรกว่า 17,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้เพราะอีกนัยหนึ่ง การเปิดซองประมูลโดยนายทุน ก็คือการขับไล่ชุมชนนั่นเอง เพราะพื้นที่ที่มีศักยภาพในการลงทุน ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ที่ชาวสลัมบุกเบิกเป็นถิ่นอาศัย
เพื่อเป็นการตอบโต้กับสถานการณ์ไล่รื้อดังกล่าว เครือข่ายสลัม 4 ภาค
จึงประสานงานชุมชนในที่ดินการรถไฟฯมาหารือถึงแนวทางแก้ปัญหาเชิงรุก
กล่าวคือชุมชนต้องชิงทำสัญญาเช่าที่ดินในพื้นที่อยู่อาศัยเดิมก่อนไม่ต้องรอให้นายทุนมาประมูลเช่าที่แล้วขับไล่ชุมชนดังอดีต โดยมีชุมชนเข้าร่วมการต่อสู้ภายใต้การนำของเครือข่ายสลัม
4 ภาค รวม 61 ชุมชน 9,139 ครอบครัว
กระบวนการเจรจาต่อรองกับการรถไฟฯในประเด็นการขอเช่าที่ดินเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยใช้เวลาถึง
22 เดือน ครอบคลุมยุทธวิธีตั้งแต่ การเปิดเวทีสาธารณะร่วมกับนักวิชาการ
และสื่อมวลชน
เพื่อวิพากษ์ถึงนโยบายการใช้ที่ดินของการรถไฟฯที่เอื้อต่อประโยชน์เฉพาะนายทุน การส่งผู้แทนเข้าเจรจากับ รมต.คมนาคม เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา การสำรวจข้อมูลชุมชนร่วมกับการรถไฟฯ การประสานกับสหภาพแรงงานรถไฟให้ช่วยล็อบบี้ฝ่ายบริหาร
ไปจนถึงการใช้วิธีขั้นเด็ดขาดเพื่อชี้ขาดชัยชนะของคนจน
ซึ่งก็คือการชุมนุมกดดันที่หน้ากระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 7 – 8
มิถุนายน 2543 ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน
จนได้ข้อยุติในเชิงนโยบายการใช้เช่าที่ดินร่วมกับการรถไฟฯ
อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวไม่มีมติจากคณะกรรมการรถไฟฯออกมารับรอง เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงต้องชุมนุมกดดันอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543
จนทำให้คณะกรรมการรถไฟฯต้องมีมติบอร์ดออกมารองรับการเช่าที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด
4 ประการดังนี้
1.
กรณีชุมชนที่อาศัยในพื้นที่การรถไฟในบริเวณที่ห่างจากรางรถไฟเกิน 40 เมตร และที่ดินที่การรถไฟฯเลิกให้ในกิจการเดินรถ
และยังไม่อยู่ในแผนแม่บทที่จะใช้ประโยชน์
ให้ชุมชนได้ทำสัญญาเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี
โดยให้การรถไฟฯ
และชาวชุมชนร่วมกันจัดผังการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อนจะมีการทำสัญญาเช่า
2.
กรณีชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมทางรถไฟในรัศมี 40 เมตร
จากศูนย์กลางรางรถไฟ ให้ชุมชนได้ทำสัญญาเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นระยะเวลาครั้งละ
3 ปี เมื่อครบอายุสัญญาให้ต่อสัญญาเช่าได้อีกครั้งละ 3 ปี
จนกว่าการรถไฟฯจะมีโครงการใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในการเดินรถ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หรือมีแผนดำเนินงานที่ชัดเจนแล้วจึงไม่ต่อสัญญา และการรถไฟฯจะหาที่รองรับที่อยู่ห่างจากเดิมภายในรัศมีไม่เกิน
5 กิโลเมตร
ในระหว่างการเช่า
การรถไฟฯจะอนุญาตให้หน่วยงานเข้าบริการและพัฒนาชุมชนได้ เช่น
การไฟฟ้าและการประปาสามารถปักเสาพาดสายและวางท่อเข้าชุมชนได้ ให้การเคหะแห่งชาติ หรือ
หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนได้เข้าปรับปรุงชุมชนได้ ทั้งนี้ชุมชนต้องร่วมมือกับการรถไฟฯ ในการจัดการพื้นที่ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย
3.
กรณีชุมชนที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่การรถไฟฯที่มีรัศมี 20 เมตร
ถ้าการรถไฟฯเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยในระยะยาว ให้การรถไฟฯจัดหาที่รองรับให้เช่าภายในรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่อยู่อาศัยเดิม โดยมีคณะกรรมการร่วมดำเนินการจัดพื้นที่รองรับ
4. ให้ตัวแทน “เครือข่ายสลัม
4 ภาค”
มีส่วนร่วมกับการรถไฟฯในการยกร่างสัญญาเช่าที่ดินและพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าที่เหมาะสมและเป็นธรรม
แม้จะมีมติคณะกรรมการรถไฟฯ ปี 2543
เป็นใบเบิกทางในการเช่าที่ดิน
แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดังคิด เพราะถึงที่สุดแล้ว
การได้เซ็นสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟฯเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยของชุมชนในที่เดิม หาใช่อะไรอื่นหากแต่คือ “การต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน” โดยมีประเด็นที่ดินในเมืองเป็นเดิมพัน
ดังนั้นในทางปฏิบัติ
ผืนดินที่ชาวสลัมได้เช่าจึงต้องผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองกับการรถไฟฯ ด้วยกระบวนการที่เหมือนๆกับเมื่อครั้งที่เครือข่ายสลัม
4 ภาค เจรจากับกระทรวงคมนาคมเพื่อให้ได้นโยบายการเช่าที่ดินในปี 2543
ปัจจุบัน (ปี 2543) มีชุมชนในที่ดินการรถไฟฯที่เป็นสมาชิกเครือข่ายสลัม
4 ภาค ประสบความสำเร็จในการเช่าที่ดินแล้ว
24 ชุมชน โดยเป็นการเช่าระยะยาว 30 ปี 11 ชุมชน
ส่วนที่เหลือเป็นการเช่าในอายุสัญญาครั้งละ 3 ปี เมื่อชุมชนมีสัญญาเช่าก็สามารถนำสิทธิในสัญญาไปขอการสนับสนุนงบประมาณในการทำโครงการที่อยู่อาศัยจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(พอช.)
ซึ่งเป็นงบอุดหนุนในการจัดทำสาธารณูปโภคฟรี ขณะนี้ชุมชนที่เช่าที่ดินการรถไฟฯแล้วได้งบสนับสนุนจากรัฐบาลรวมเป็นเงิน
87,941,096 บาท และชุมชนกำลังอยู่ในกระบวนการจัดทำสาธารณูปโภค ปรับปรุง
รวมถึงก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
5)
ผลสะเทือนจากการต่อสู้
การเคลื่อนไหวผลักดันนโยบายการเช่าที่ดินการรถไฟฯ
เพื่อให้ชุมชนปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม ดังที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค ดำเนินการมานั้น
ถือเป็นการต่อสู้ซึ่งส่งผลสะเทือนในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายประชาชนในหลายประการ
ประการแรก ยุทธศาสตร์ผลักดันการเช่าที่ดินการรถไฟฯ เป็นการเคลื่อนไหวที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“นโยบายการใช้ที่ดินในเมืองของรัฐ”
ที่แต่เดิมใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจแต่ถ่ายเดียว
มาเป็นนโยบายการใช้ที่ดินที่ภาครัฐต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางสังคมด้วย ซึ่งในกรณีการรถไฟฯ ก็คือการนำที่ดินมาแก้ปัญหาสลัมตามนโยบายให้ชุมชนเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดิม
โดยไม่ต้องรื้อย้ายไปนอกเมืองหรือขึ้นแฟลต
นอกจากนี้ยังก่อผลสะเทือนทางสังคมในแง่ที่ทำให้ชาวสลัมที่อาศัยอยู่ในที่ดินของหน่วยงานรัฐอื่นๆ
เช่น ราชพัสดุ การท่าเรือ กรมการศาสนา
รวมถึงที่สาธารณะของ กทม.
หันมาเรียกร้องให้หน่วยงานเหล่านั้นมีนโยบายให้ชุมชนเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม
ประการที่สอง ยุทธศาสตร์ผลักดันการเช่าที่ดินการรถไฟฯ ถือเป็นยุทธวิธีใหม่ในการต่อต้านการไล่รื้อ คือเป็นการขจัดการไล่รื้อสลัมจากต้นตอ
เพราะการเจรจากับกระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯจนมีมติบอร์ดเมื่อปี 2543
นั้น ทำให้ชุมชนสมาชิกของเครือข่ายสลัม 4
ภาค ทั้ง 61 ชุมชน ถูกขึ้นทะเบียนในฐานะชุมชนที่การรถไฟฯจะต้องแก้ไขปัญหาโดยการให้เช่าที่ดิน
ดังนั้นการรถไฟฯจึงไม่สามารถเปิดให้ภาคธุรกิจเข้ามาประมูลเช่าที่ในพื้นที่ของชุมชนทั้ง
61 ชุมชนได้
ซึ่งต่างจากในอดีตที่ชาวสลัมมักถูกขับไล่โดยนายทุนที่มาประมูลหรือได้สัมปทานในที่ดินการรถไฟฯแล้วฟ้องขับไล่ชุมชน
ประการที่สาม ยุทธศาสตร์ผลักดันการเช่าที่ดินการรถไฟฯ เป็นเงื่อนไขที่ใช้ในการจัดรูปองค์กรและขยายงานชุมชน
ทั้งนี้เพราะการเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าว ทำให้เครือข่ายสลัม 4 ภาค ต้องเชื่อมประสานและจัดระบบชุมชนสมาชิกที่กระจายอยู่ในพื้นที่การรถไฟฯทั้ง
4 ภูมิภาค ครอบคลุม 29 จังหวัด โดยมีกระบวนการตั้งแต่สำรวจข้อมูลชุมชน
ทำงานจัดตั้ง ฝึกอบรมแกนนำ เจรจาต่อรอง
รวมถึงชุมนุมกดดันทั้งในระดับพื้นที่จนถึงระดับนโยบาย เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์การเช่าที่ดินดังกล่าว
ประการสุดท้าย ยุทธศาสตร์ผลักดันการเช่าที่ดินการรถไฟฯ ทำให้เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ต้องทำงานในมิติการสร้างพื้นที่สาธารณะมากขึ้น
เพราะการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้ที่ดินในเมืองของรัฐให้มาเอื้อต่อประโยชน์ของคนจน
ต้องอาศัยความเข้าใจจากภาคประชาสังคมเป็นแรงหนุนช่วย มีการจัดเวทีสาธารณะ ประสานสื่อมวลชน รวมถึงการคิดค้นกิจกรรมรณรงค์ “วันที่อยู่อาศัยสากล” ขึ้นในปี 2544 ทั้งนี้เพื่อให้กระแสงานสากล
ช่วยยกระดับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นการเช่าที่ดินการรถไฟฯ
แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่มีความสำเร็จและผลสะเทือนค่อนข้างสูง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำการโดยง่ายที่ใครๆก็สามารถจะทำได้
ทั้งนี้เพราะความสำเร็จดังกล่าว เกิดจากการใช้กระบวนยุทธ์ของ “ภาคประชาชน” โดยแท้
ชุมชนในที่ดินการรถไฟฯอีกหลายแห่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เพราะขลาดกลัวต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของภาคประชาชน
ล้วนแล้วแต่ยังไม่ได้สิทธิในสัญญาเช่าจากการรถไฟฯ ชุมชนเหล่านั้นซึ่งคงเส้นคงวาอยู่กับแนวคิด “ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยประสานงานให้” แม้ว่าจะอาศัยบุญบารมีของหน่วยงานรัฐอย่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
( พอช. ) เป็นใบเบิกทางในการขอเช่า แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็ยังหนีไม่พ้นสถานะของการเป็น
“ผู้เฝ้ารอสัญญาเช่า” ก็เพราะอย่างที่บอกไว้
การต่อสู้เรื่องที่ดินในเมืองเป็นประเด็นในทางชนชั้น ที่ชาวสลัมจะต้องสร้างดุลย์อำนาจขึ้นมาต่อรองกับฝ่ายเจ้าที่ดิน หามีทางลัดอื่นใดไม่ หากคนจนจะต้องการทั้งที่ดินและศักดิ์ศรีในเวลาเดียวกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น