เส้นทางการปฏิรูปที่ดินการรถไฟฯ
เพื่อที่อยู่อาศัยของคนจน
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม4ภาค
เสร็จสิ้นพิธีการมอบสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และมอบงบประมาณโครงการบ้านมั่นคง
แก่ชุมชนตลาดบ่อบัว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
มาเป็นผู้มอบ
เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องชุมชนตลาดบ่อบัวหลังจากพิพาทกับกลุ่มทุนใหญ่ที่พยายามจะฮุบเอาที่ดินของการรถไฟฯทั้งโซนตลาดบ่อบัว แต่กลุ่มชาวตลาดบ่อบัวไม่ได้ยอมจำนนการต่อสู้เรียกร้องจึงเกิดขึ้น
และเกิดผลสำเร็จได้ที่ดินกว่า 6 ไร่ มาเป็นที่อยู่อาศัยได้
ภาพพิธีมอบสัญญาเช่าที่ดิน
และ มอบงบประมาณการพัฒนาชุมชนตลาดบ่อบัว
เวทีในงานนี้เองไม่ได้มีแค่การมอบสัญญาจากผู้แทนรัฐบาลเท่านั้น
แต่ยังมีการลงนามบันทึกความร่วมมือกันที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยอีกด้วย
การพัฒนาชุมชนตลาดบ่อบัวด้านที่อยู่อาศัยถึงแม้จะเห็นเส้นทาง
แนวทางการเดินไปข้างแล้ว
แต่การพัฒนาในด้านอื่นๆที่จะตามมาเพื่อให้เท่าทันการเติบโตของเมืองที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม
3 สนามบิน โครงการพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
หรือระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ล้วนแล้วเป็นสิ่งกระตุ้น ยั่วยุ ให้เกิดการค้าที่ดินเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่
เช่น การลงนามแสดงให้เห็นถึงการสร้างความร่วมมือการพัฒนาชุมชนในทุกด้านของชุมชนตลาดบ่อบัว
เพราะมีทั้งเจ้าของที่ดินคือการรถไฟแห่งประเทศไทย
หน่วยงานสนับสนุนงบประมาณพัฒนาที่อยู่อาศัย คือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
หน่วยงานที่จะคอยสนับสนุนในพื้นที่ท้องถิ่นคือทางจังหวัดและเทศบาล
ในอนาคตหลังจากที่ชุมชนมีที่ดินที่มั่นคงแล้ว
ต้องวางแผนชุมชนในระยะยาวเพื่อรักษาที่ดินผืนนี้ไว้ให้ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป
ภาพเวทีสาธารณะพูดคุยการพัฒนาชุมชนในอนาคต
และการลงนาม MOU การพัฒนาชุมชนร่วมกัน
แต่เส้นทางการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยยังไม่สิ้นสุด
ยังคงเหลืออีกหลายชุมชนที่ยังรอการแก้ปัญหาอยู่
ถึงแม้นว่าบันทึกข้อตกลงระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ตามมติคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2543 เกือบ 20 ปี
บัญชีรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนไว้ 61 ชุมชน ที่ครอบคลุมในการสำรวจเพื่อจะเสนอเช่าในช่วงเวลานั้นชุมชนตลาดบ่อบัวน่าจะเป็นชุมชนสุดท้ายที่ได้รับการเช่าภายใต้มติดังกล่าว แต่การผลักดันการแก้ปัญหาของเครือข่ายสลัม 4
ภาค ยังไม่สิ้นสุดตาม
เพราะล่าสุดการประชุมบอร์ดการรถไฟฯเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561
ที่ผ่านมา ก็มีข่าวที่น่ายินดีของพี่น้องชุมชนหนองยวน 2 จังหวัดตรัง
และชุมชนรอบเมือง 1 โซน 2 จังหวัดขอนแก่น
ที่บอร์ดการรถไฟฯมีมติอนุมัติหลักการเช่าให้กับชุมชนทั้ง 2 แห่งนี้
เหลือติดตามการทำสัญญาเช่าเท่านั้นเอง
ภาพการประชุมหาแนวทางการแก้ปัญหาที่ดินกับกระทรวงคมนาคม
ส่วนชุมชนอื่นๆที่ยังประสบปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยในที่ดินของการรถไฟฯ
ทางเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ก็ได้เจรจากับทางอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคมถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่จะเริ่มมีการสำรวจพื้นที่ชุมชนร่วมกัน โดยนำร่องจะเริ่มต้นที่จังหวัดตรัง ที่กำลังประสบปัญหาที่เจ้าหน้าที่ รฟท.
ปิดประกาศเตรียมจะดำเนินคดีในหลายพื้นที่ชุมชน การแบ่งปันที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์
( Land Sharing ) มันจึงเป็นรูปแบบหนึ่งในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในที่ดินการรถไฟฯ
ดังที่ชุมชนตลาดบ่อบัวได้ทำมา
และในช่วงเวลานี้จะเห็นข่าวการใช้พื้นที่
2 ข้างทางรางรถไฟไปใช้ในเชิงพาณิชย์
รวมถึงการพัฒนาระบบคมนาคมในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ทั่วประเทศ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยในสองข้างทางริมทางรถไฟ
ที่ยังพิพาทไม่จบและเริ่มที่จะมีแนวโน้มการไล่รื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้นก็เห็นได้จากรณีชุมชนย่านสถานีหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กว่า 1,000 หลังคาเรือน
ที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตว่าถ้าหากถูกฟ้องร้องขับไล่แล้วตนเองจะไปอยู่ตรงไหนของผืนแผ่นดินไทย
การนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของเครือข่ายสลัม
4 ภาค
จึงถือเป็นต้นแบบหนึ่งในการแก้ปัญหาสำหรับชุมชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟฯ
เป็นการแบ่งปันซึ่งกันและกันระหว่างรัฐกับประชาชน
เป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนที่ได้บริหารทรัพยากรที่ดินโดยชุมชน ที่มิใช่การสงเคราะห์แจกจ่ายเป็นรายปัจเจก
การเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการปฎิรูปที่ดินในประเทศไทยของเครือข่ายสลัม
4 ภาค
ที่ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
ก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไปและไม่ใช่เพียงแค่ที่ดินของการรถไฟฯเท่านั้น
แต่ต้องเป็นการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นรูปธรรมและได้ผลจริง อย่างที่ได้ร่วมรณรงค์ขึ้นมา อาจจะเป็นเรื่องใหญ่และลำบากที่จะให้เปลี่ยนทัศนคติ
“ที่ดินต้องไม่ใช่สินค้า”
ที่ดินต้องนำมาใช้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกคน ทุกคนจะต้องมีที่ดินที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน
อย่างมีศักดิ์ศรีที่เท่ากัน เราจึงยืนยันที่จะเสนอนโยบายเหล่านี้ต่อไปเพื่อการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม และให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าที่ไม่ใช่เพียงเพื่อเก็งกำไร
ค้าขาย
1.
นโยบายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า
2.
นโยบายภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า
3.
นโยบายสถาบันธนาคารที่ดิน
4.
นโยบายการจัดการทรัพยากรที่ดินโดยชุมชน
(โฉนดชุมชน)
5.
นโยบายการกระจายการถือครองที่ดินรัฐเพื่อประโยชน์ด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน
ทั้งนี้หากคนจนสามารถเข้าถึงที่ดินแล้ว
การเขาถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่ทุนการประกอบอาชีพ เพื่อดำรงชีพต่อไป
สิ่งเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกันไปด้วยเช่นกัน
รวมถึงสวัสดิการด้านต่างๆที่จะช่วยลดภาระประชาชนลงได้
การเลือกตั้งที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์ของแต่ละพรรคการเมือง ที่มองมาต่อประชาชนเป็นลักษณะแบบไหน
อย่างไร การแก้ปัญหา ช่วยเหลือ
ลดความเหลื่อมล้ำ จะเป็นลักษณะแบบใด
ประชาชนคงต้องใช้การวิเคราะห์ แยกแยะ
สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังเลือกตั้งนี้อย่างรอบคอบ แต่ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนก็ยังคงต้องขับเคลื่อนต่อไป ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไรก็ตาม !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น