ธรรมาภิบาลของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกำลังทุ่มเทงบประมาณ
และโครงการต่างๆในการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่รัฐวิสาหกิจแห่งนี้รายได้การดำเนินงานถึง
ณ ปัจจุบันยังคงขาดทุนอยู่อย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นข่าว การแก้ปัญหาจึงต้องมี 2 เป้าหมายใหญ่ๆคือ
การพัฒนาระบบรางให้ดีขึ้น และ ดำเนินการไม่ให้ขาดทุนและมีกำไรขึ้นมา
รฟท. มีทรัพย์สินที่จะบริหารแล้วเกิดกำไรได้นั้นมี
2 อย่างคือ การให้บริการระบบราง ซึ่งเป็นระบบที่ถูกและเอื้อเฟื้อต่อคนจน และเป็นการเดินทางที่หลายรัฐบาลต้องจัดสวัสดิการให้แบ่งเบาภาระของประชาชนในหลายครา เช่น นโยบายรถไฟฟรีเพื่อประชาชน
หรือปัจจุบันเอาไปบรรจุไว้สำหรับคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ รฟท.
ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเยอะจึงต้องลดกลุ่มเป้าหมายลง และที่อยู่ระหว่างการดำเนินการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมาอีก
เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ
หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็ว
ล้วนแล้วเป็นโครงการก่อสร้างเพื่อให้ประสิทธิภาพด้านการบริการขนส่งระบบรางให้ดีขึ้น อีกทั้งหวังถึงจะเพิ่มผลกำไรในการขนส่งที่ดีขึ้นครั้งนี้ด้วย
ส่วนอีกด้านที่สร้างรายได้ให้กับ รฟท. นั้นคือ “ที่ดิน”
ที่มีจำนวนมากถึง 234,976
ไร่ เป็นส่วนที่พื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช้เพื่อการเดินรถ 36,302 ไร่ ( ข้อมูลจาก https://thaipublica.org/2015/09/thailand-railway-1/ ) จากที่เราเคยพบเจอกันจนชินตาตลอดในการเดินทางด้วยรถไฟที่ต้องข้ามอำเภอ
ข้ามจังหวัดกัน ก็คือการมีที่พักอาศัยหนาแน่นก่อนถึงสถานีใหญ่ๆ
เสมือนการแจ้งเตือนผู้โดยสารเป็นนัยๆว่าจะถึงสถานีใด สถานีหนึ่งแล้ว บ้างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้างระเกะระกะ
แต่ที่เหมือนกันคือเห็นมานานนมกว่า 20 ปี แล้ว ยังไม่รวมถึงย่านที่ดิน รฟท. ดังๆ ที่ไม่มีราง
เช่น ตลาดนัดจตุจักร หรือห้างดังอย่างเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่จะกลายเป็นธุรกิจหลักของ รฟท. แล้ว
ขอบคุณภาพประกอบจาก
https://thaipublica.org/2015/09/thailand-railway-1/
แต่ปัญหาของ รฟท. ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น อย่างที่กล่าวข้างต้น
กลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ตามย่านสถานี
หรือริมทางรถไฟสองข้างทางยังคงเป็นอีกประเด็นที่จะละเลยไม่ได้ อีกทั้งไม่ควรจะแก้ปัญหาโดยการ “ฟ้องร้องทางกฎหมาย”
เพราะอะไรนั้นหรือ เราต้องดูกันว่าพวกเขามาอยู่ที่ได้ได้อย่างไรกันก่อน จากการสัมภาษณ์ชาวชุมชนย่านบางกอกน้อย
เขาเป็นกลุ่มแรกในการเข้ามาอยู่ในชุมชนที่ดินของ รฟท.
เพราะเป็นแรงงานสำคัญในการโยนฟืนเข้าหัวรถจักร
บางกลุ่มในชุมชนย่านสถานีจังหวัดตรังการเข้ามาอยู่ก็จะคล้ายๆกันคือเป็นคนงานให้กับ
รฟท. พอขยายครอบครัวทางนายสถานีก็ให้อยู่อาศัย
บ้างก็เคยเช่าอย่างถูกกฎหมายแล้วก็หยุดเก็บค่าเช่าแบบไม่มีสาเหตุ มีหลายชุมชน
จำนวนหลายแปลงที่ดินที่ถ้าหาก รฟท.
ใส่ใจเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านั้นได้เช่าที่ดินอย่างถูกต้องก็จะสามารถควบคุมการเข้าอยู่ในที่ดินของตนเอง
และยังได้เงินเข้าหน่วยงานจนเองอีกด้วย
อย่างที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค พยายามผลักดันเรื่องนี้อยู่ ซึ่งหากชุมชนเหล่านั้นอยู่อย่างถูกต้อง การพัฒนาที่อยูอาศัยก็จะดีตามไปด้วย สามารถจัดระเบียบให้สวยงามเป็นสัด เป็นส่วน
เป็นหน้าเป็นตาของสถานีได้เลยทีเดียว
แต่ที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา
ชาวจังหวัดขอนแก่นได้เข้าร่วมรับฟังอภิมหาโปรเจคของ รฟท. ที่จะนำมาลงสู่จังหวัดพวกเขาบนเนื้อที่กลางเมืองของการรถไฟฯ
ราว 108 ไร่ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายสมาทซิตี้
พยายามผลักดันให้เป็นเมืองที่ทันสมัย
รวมถึงเป็นกระดูกสันหลังสำคัญของระบบรางที่จะสร้างทางแยกทางรถไฟใหม่ 2 เส้นสำคัญ ไปยังจังหวัดหนองคาย และไปยังแม่สอด การลงทุนตามย่านสถานีก็จะตามมาเหมือนเงาติดตัว
หากแต่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ชาวชุมชนของสมาชิกเครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์
จังหวัดขอนแก่น ได้เข้าเจรจาร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค
เพื่อให้เป็นที่รองรับของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม
โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม
ได้รับข้อเสนอของชาวชุมชนเพื่อนำเข้าบรรจุในแผนการศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูงด้วย แต่ รฟท. กลับทำเหมือนหูทวนลม
ไม่สนใจมติดังกล่าว
พร้อมทั้งพยายามเบี่ยงเบน
หาเหตุผลต่างๆนานาว่าชุมชนไม่สมควรใช้พื้นที่แปลงนั้น สุดท้ายพี่น้องชุมชนก็ได้ทราบธาตุแท้ของการรถไฟฯแล้วว่าที่ดินแปลงทองคำแปลงนั้นได้สงวนไว้ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่มาลงทุน แต่พื้นที่รองรับผู้ได้รับผลกระทบกลับไม่มี
นี่คือส่วนหนึ่งที่สะท้อนธรรมาภิบาลการบริหารของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่กระทำกับคนจนมาโดยตลอด ที่มุ่งเน้นผลกำไรจนละเลยการรับผิดชอบสิ่งอื่น เวทีรับฟังความเห็น การศึกษาความเหมาะสม
และออกแบบเชิงความคิด ของโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณอาคารบ้านพักพนักงาน ,
อาคารที่ทำการและสนามกอล์ฟที่สถานีขอนแก่น
การรถไฟแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.
2556 ที่จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
(นิด้า) NIDA
และมีข้อสังเกตุหลายอย่างที่ทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจว่าเขาต้องการจัดเพื่ออยากรับฟังจริง หรือว่าต้องการจัดให้เสร็จตามกระบวนการเท่านั้น
เพราะในเวทีรับฟังจัดไว้ห้องขนาดกลางๆรับคนได้ประมาณ ร้อยคนต้นๆ
เอกสารเตรียมมาแจก 200 ชุด มีหลายคนมาแล้วไม่มีที่นั่ง มีหลายคนมาแล้วไม่ได้รับเอกสาร
ทั้งๆที่โครงการนี้จะส่งผลสะเทือนไปทั้งจังหวัดขอนแก่น อย่างที่สองด้านเนื้อหาไม่ได้สะท้อนถึงการศึกษาผลกระทบอย่างจริงจัง รูปแบบการออกแบบโมเดลก็ไม่สอดคล้อง ยกตัวอย่างเช่น เหตุผลในการการสร้างโซนสวนสนุกเพื่อจะเป็นที่ผ่อนคลายความเดรียดสำหรับผู้ที่มาใช้สถานที่ประชุม
สัมมนา
ซึ่งฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
อีกทั้งไม่ได้อธิบายกระบวนการขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร
จะดำเนินการอะไรต่อ
ทั้งห้องประชุมถึงกับงุนงง
การยื่นหนังสือคัดการการศึกษาต่อผู้แทน
NIDA
ชัดเจนแล้วว่าโครงการนี้ได้ละเลยผลกระทบต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งที่มีมติการพูดคุยอย่างเป็นทางการแล้ว
แต่เรื่องผลประโยชน์ขององค์กรตัวเองกลับมาก่อนผลกระทบประชาชน แต่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก ยังมีอีกหลายกรณีอย่างที่เคยบอกกล่าวไว้แล้วคือ
กรณีการอยู่อาศัยของชาวชุมชนตลาดบ่อบัวที่เคยเช่าที่ดินกับ รฟท.
แล้วหยุดให้เช่ากลับให้เอกชนมาประมูลทับที่อยู่อาศัยแทน
หรือแม้แต่กรณีชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างรถไฟสายสีแดงช่วง
ศิริราช – ตลิ่งชัน ที่ชาวบ้านเช่าที่ดินกับ รฟท. แล้ว
กำลังปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้นตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคง
แต่กลับมาแจ้งให้ยุติการพัฒนาเนื่องจากมีโครงการ
ต้องใช้เวลาการเจรจากว่าปีถึงจัดหาที่รองรับให้ใหม่ จากวันนั้นจนถึงวันนี้กว่า 5 ปี ชาวบ้านจ่ายค่าเช่าที่ดินให้
รฟท. แต่กลับไม่สามารถเข้าพื้นที่รองรับดังกล่าวได้ เนื่องจากมีกลุ่มอิทธิพลอาศัยอยู่ไม่กี่หลังครองที่ดินไว้จำนวนมาก เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้ ตรงข้ามกับชาวบ้านที่ฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทุกวัน หนำซ้ำพื้นที่รองรับที่ชาวบ้านได้ทำสัญญาเช่าใหม่
30 ปี รฟท. กลับไปทำสัญญาทับซ้ำซ้อนผ่ากลางชุมชนใหม่เพื่อใช้เป็นทางเข้า – ออก
ในการประกอบกิจการของเอกชน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนในการบริหารแบบไร้ธรรมาภิบาลของ
รฟท. ที่เล็งเห็นแต่ประโยชน์กำไรที่เป็นเม็ดเงินด้านเดียวเท่านั้น แต่กลับละเลยผลกระทบที่หน่วยงานตนเองสร้างขึ้นมาเอง
พอจะเข้าใจและเห็นด้วยกับการพัฒนาในหลายด้านให้ดีขึ้นเพื่อประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาด้านการเงิน
แต่การพัฒนาจะต้องไม่ละเลยข้อเท็จจริงที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบด้วย การแบ่งปัน
การพูดคุย
ล้วนแล้วจะนำสู่ทางออกที่ดีไม่กระทบกระทั่งกัน
ไม่จำเป็นต้องข่มขู่ด้วยอำนาจกฎหมายที่ฝ่ายประชาชนเป็นรองอยู่ตลอด เพียงใช้ธรรมาภิบาล เปลี่ยนมุมมอง
ประชาชนไม่ใช่ศัตรู
เพียงเท่านี้ก็สามารถหาทางออกร่วมกันได้
สภาพชุมชนข้างทางรถไฟที่ได้รับการปรับปรุงหลังได้เช่าที่ดินถูกต้องแล้ว
ผ่านมากว่า 4 ปี
ของรัฐบาลนี้อนุกรรมการฯชุดต่างๆที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคลี่คลายปัญหากลับไม่ได้รับการใส่ใจของหน่วยงานปฏิบัติ
ชี้ให้เห็นชัดว่ารัฐบาลไม่สามารถดำเนินการตามที่ได้ตกลงพูดคุยกับประชาชนได้
หรือรัฐบาลตั้งใจจะซื้อเวลาการแก้ปัญหาโดยใช้อนุกรรมการแล้วท้ายสุดก็ส่งมอบที่ดินไปยังกลุ่มทุนเหมือนอย่างที่เคยทำกันมา ผลงานรูปธรรมเท่านั้นถึงเป็นตัวชี้วัดให้สังคมเห็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น