วันที่อยู่อาศัยโลก
คนจนไทยยังคงเป็นพลเมืองชั้นสอง
นายคมสันติ์ จันทร์อ่อน
กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
องค์การสหประชาชาติประกาศเอาไว้ว่าให้ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม
ของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก ( World
Habitat Day )
เพื่อที่จะให้สังคมโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของที่อยู่อาศัยที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษยชาติ แต่กลับมีประชากรโลกจำนวนไม่น้อยที่ยังมีที่อยู่อาศัยไม่มั่นคง
ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต มีคนไร้บ้าน ( Homeless ) อยู่ในทุกประเทศทั่วโลก
ที่ดินจากทรัพยากรที่มนุษยชาติควรจะได้ใช้ร่วมกันแต่กลับถูกนำมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ประเทศไทยเองก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน และจะรุนแรงหนักขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งจากการรายงานข่าวเมื่อ
ปลายปี 2561 ประเทศไทยได้ครองแชมป์ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นอันดับ 1 ของโลก แน่นอนว่าเศรษฐกิจที่ว่านั้นรวมถึง “ที่ดิน”
อยู่ด้วย มหาเศรษฐีและหน่วยงานรัฐต่าง ๆ
ในประเทศไทยครองที่ดินกว่าครึ่งไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ยังไม่นับรวมกลุ่มทุนต่างประเทศที่มีผู้แทนในการเป็นเจ้าของที่ดินอีกจำนวนไม่น้อย สถานการณ์คนไร้ที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย
ในประเทศไทยจึงถือว่าเป็นขั้นวิกฤตรุนแรงไม่น้อย
แต่กระนั้นเองรัฐบาลไทยยังคงเหมือนทองไม่รู้ร้อน ยังคงออกนโยบายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
( Eastern
Economic Corridor หรือ EEC ) เพื่อผ่อนปรนให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินได้อย่างน้อย
ๆ 99 ปี
มีกฎหมายพิเศษยกเว้นให้นักลงทุนในขอบเจตพื้นที่ดังกล่าว
แต่ยังไม่วายที่จะอ้างเพื่อประโยชน์คนจนย่านนั้นจะมีงานทำไม่ขาดสาย
มันก็คงจะจริงถ้าหากพื้นที่ดังกล่าวสงวนไว้เพียงเฉพาะคนไทย แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นอกจากจะไม่สงวนแล้วรัฐบาลยังคงส่งเสริมให้พื้นที่ดังกล่าวสามารถจ้างงานชาวต่างชาติมาทำงานได้อย่างเต็มที่
อีกทั้งผ่อนปรนกับแรงงานข้ามชาติเหล่านั้นดีกว่านอกพื้นที่ EEC เสียอีก
ดังนั้นประเด็นการสร้างงานให้คนไทยในย่านนั้นปิดไปได้เลย
ยังไม่นับรวมการเตรียมแนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน
( Transit-Oriented
Development หรือ TOD ) ที่หมายถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน
เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสาน มีความหนาแน่นสูง
และส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน ซึ่งจะมี 170 สถานีทั่วประเทศนำร่องใช้ก่อน และส่วนใหญ่พื้นที่ที่จำ TOD ก็มักจะมีชุมชนคนจนอยู่อาศัยรวมอยู่ด้วย
อย่างเช่นย่านสถานีรถไฟจังหวัดขอนแก่น
ทางบริษัทที่ปรึกษาโครงการศึกษา TOD ออกมาแจ้งเองว่ามีชุมชนกว่าพันหลังคาเรือนอยู่ในย่านที่จะปรับทำ
TOD ซึ่งเป็นเรื่องลำบากหากการปรับลักษณะการอยู่อาศัยให้ทุกคนปรับที่อยู่อาศัยเป็นแนวดิ่งทั้งหมดได้
การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการอยู่อาศัยแล้วถือว่าเป็นการช่วยแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยแล้วไม่ได้ เพราะการดำรงชีพเป็นเรื่องสำคัญ หากคนเมืองที่เป็นแรงงานนอกระบบ เก็บของเก่า
ขายอาหารข้างถนน รับงานมาทำที่บ้าน
อาชีพเหล่านี้ที่ต้องใช้พื้นที่ในการดำเนินงาน
ส่วนคนชนบทยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยหากพวกเขาเหล่านั้นจะมีที่ดินเพียงแค่ปลูกสร้างบ้าน แต่ไม่มีที่ดินสำหรับการทำการเกษตรในการดำรงชีพ
ขณะนี้สภาพการณ์คนจนเมืองถูกขับออกไม่ให้อาศัยอยู่ในเมือง ใจกลางเมืองถูกสงวนไว้สำหรับกลุ่มคนมีเงิน
หรือกลุ่มทำงานออฟฟิศที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการอยู่อาศัยมากนัก ส่วนคนจนชนบทกำลังถูกไล่บีบให้ออกจากป่า หน่วยงานรัฐประกาศเขตป่าคลุมที่อยู่
ที่ทำกินชาวบ้าน
บางส่วนมีการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับกลุ่มทุน
หรือยกเว้นการคลอบครองที่ดินของกลุ่มทุน
นี่คือปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นของกลุ่มคนจน
และกลุ่มคนจนชนบท ที่มีที่อยู่อาศัยไม่มั่นคง
ต่างวนเวียนอยู่กับคดีความ ถูกฟ้องดำเนินคดีขับไล่ ซึ่งยังเป็นคำถามกันอยู่ว่าหากจับกลุ่มคนเหล่านั้นไปหลายหมื่นคนจะมีที่ใดพอกุมขังพวกเขาไว้ได้บ้าง กลุ่มคนเหล่านี้นอกจากมีคดีความ
การอยู่อาศัยยังไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ
แต่อย่างใดได้ บ้างต้องพ่วงน้ำ พ่วงไฟ
จากเอกชนในราคาที่แพงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ส่วนสวัสดิการต่าง ๆของรัฐก็เข้าถึงได้อย่างยากลำบาก
หากยังมาดูกลุ่มที่ไม่มีแม้แต่หลังคาหลบแดดหลบฝนคือกลุ่มคนไร้บ้าน
จากการสำรวจคนไร้บ้านทั่วประเทศโดยมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
กับภาคีหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ 87 องค์กร เมื่อช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา พบคนไร้บ้านอยู่ราว 7,000 คนทั่วประเทศ ( ทั้งอาศัยอยู่ในศูนย์ต่างๆ และอาศัยนอนตามที่สาธารณะต่างๆ
) แน่นอนกลุ่มคนเหล่านี้เข้าไม่ถึงสวัสดิการต่างๆของรัฐแน่ๆ
ลำพังแค่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คนไร้บ้านเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำพาตัวเองไปรับบัตรดังกล่าวได้
เพราะเงื่อนไขหลายๆอย่างไม่ได้เอื้อให้กับพวกเขาเหล่านั้น
ยังไม่นับนโยบายร้อนแรงในช่วงนี้ “ชิมช้อปใช้”
นโยบายที่เอาเงินภาษีจากคนทั้งประเทศมาให้ตัวแทน 10 ล้านคนมาใช้เงิน “หนึ่งหมื่นล้านบาท” มีเกณฑ์ง่ายๆในการได้สิทธิ์ใช้เงินนี้คือ ใครลงทะเบียนได้ก่อนคนนั้นได้ใช้เงิน
อันนี้ไม่ต้องคิดซับซ้อน ประชาชนไม่มีแรงในการ “ซื้อ” ของตามห้างร้าง รัฐเลยขอแทรกแซงช่วยอุ้มกระตุ้นเศรษฐกิจให้โดยผ่านประชาชน โดยไม่ได้เน้นว่าเป็นกลุ่มใด
ใครก็ได้เอาเงินภาษีไปซื้อของกิน ของใช้ เที่ยวเตร่ ได้หมด แน่นอนกลุ่มคนจนผู้ที่เข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ตลำบากก็จะไม่ทันกลับกลุ่มคนที่คลุกคลีกับอินเตอร์เน็ตเป็นชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ดังนั้นนโยบายนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือคนจนแต่อย่างใด
แต่เป็นการช่วยเหลือตลาดการค้าที่กลุ่มทุนบ่นอุบว่ามันเงียบ ซบเซามานาน
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่กลุ่มคนจนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงถูกละเลยจากรัฐบาล แม้นว่ารัฐบาลได้คลอดแผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ
20 ปี ออกมาแล้ว
แต่ในทางปฎิบัติไม่สามารถทำได้จริงตามที่ได้เขียนไว้
ในวันที่อยู่อาศัยโลกเครือข่ายสลัม 4
ภาค จึงได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล และนัดหมายรอฟังคำตอบนโยบายการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก โดยมีเนื้อหาดังนี้
1.
ด้านที่อยู่อาศัย
1.1
ให้คณะรัฐมนตรีมีมติอุดหนุนงบสาธารณูปโภค
ไฟฟ้า - ประปา ส่วนต่อขยายในโครงการที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยของรัฐ
1.2
ให้รัฐบาลไทยจัดตั้งกองทุนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับโครงการพัฒนาของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน
เช่นกรณีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ หาดใหญ่ - สงขลา โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เช่น
ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เป็นต้น
1.3
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีนโยบายให้กรมกิจการผู้สูงอายุ
สนับสนุนการปรับปรุงบ้านที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตผู้สูงอายุสำหรับผู้มีรายได้น้อยในโครงการบ้านมั่นคง
2.
ด้านที่ดิน
2.1
รัฐบาลต้องยุติการดำเนินคดีต่อคนจน
ผู้ที่ไร้ที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งปฏิรูปกองทุนยุติธรรมให้คนจนเข้าถึงการช่วยเหลือเพื่อให้เข้าถึงความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
2.2
รัฐบาลต้องมีนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม
ที่ชัดเจน
การนำที่ดินรัฐมาจัดทำที่อยู่อาศัยของคนจน เช่น พรบ.สิทธิชุมชน ,
พรบ.ธนาคารที่ดิน และ พรบ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ที่ภาคประชาชนได้นำเสนอไว้ และให้รัฐบาลยกเลิกหรือทบทวนมาตรการหรือนโยบาย
มติคณะรัฐมนตรีที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาที่ดินที่ทำกินโดยเร่งด่วน
2.3
ให้รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี
ให้หน่วยงานเจ้าของที่ดิน
เช่นการรถไฟแห่งประเทศไทย
กรมเจ้าท่า ป่าชายเลน และที่ดินรัฐอื่น ๆ ให้ประชาชนที่อยู่อาศัยเดิม
สามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านมั่นคง
หรือโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ของรัฐได้ และเข้าถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและโครงการพัฒนาอื่น
ๆ ของรัฐได้ เพื่อให้คนจนสามารถมีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงได้
3.
ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต
3.1
ประชาชนต้องสามารถเข้าถึงสิทธิรักษาสำหรับกลุ่มคนไทยที่ตกหล่นจากระบบทะเบียนราษฎร์คนไร้สัญชาติ และผู้ไม่มีสถานะ
3.2
รัฐบาลต้องจัดให้เปิดลงทะเบียนคนไทยตกหล่นและให้มีระเบียบปฏิบัติเดียวกัน
3.3
รัฐบาลต้องสร้างระบบบำนาญแห่งชาติให้เป็นกฎหมาย
3.4
รัฐบาลต้องเปลี่ยนสวัสดิการแบบสงเคราะห์เป็นรัฐสวัสดิการที่ทุกคนต้องได้รับอย่างถ้วนหน้า
สมาชิกเครือข่ายสลัม 4 ภาค กว่า 2,000 คน จะไปติดตามนโยบายทั้ง
3 ด้าน ของภาคประชาชนที่ได้ยื่นไว้กับทางรัฐบาลในวันจันทร์ที่
7 ตุลาคม 2562
และคาดหวังว่ารัฐบาลจะหยิบมาผลักดันให้บรรลุผล
อย่างน้อยการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยที่ถูกละเลยมาโดยตลอดจะถูกบรรเทาลงไปได้ และหากรัฐบาลจริงจังกับการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยของประชาชน ความเหลื่อมล้ำ ช่องว่าง ความจน ความรวย ภายในประเทศก็จะถ่างลดน้อยลงไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น