วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่ทิศทางรัฐสวัสดิการ

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  ไม่ใช่ทิศทางรัฐสวัสดิการ

คมสันติ์  จันทร์อ่อน  กองเลขาเครือข่ายสลัม ๔ ภาค

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนคนจนเตรียมจะออก “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่มาจากการหาแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียน ปี ๒๕๖๐ ที่เริ่มจะเห็นความชัดเจนแล้วว่าสำหรับผู้มีสิทธิ์ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้สวัสดิการอะไรบ้าง  ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนราว ๑๔ ล้านใบ ใช้งบประมาณ ๑,๕๘๑ ล้านบาท จากยอดผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ๑๔.๑๒ ล้านคน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้บัตรนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ นี้  ล่าสุด กรมบัญชีกลางได้เสนอกระทรวงการคลัง กรณีเงินสวัสดิการที่จะให้ประชาชน หลังจากได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ว่าสวัสดิการต่อคนต่อเดือนไม่เกิน ๒,๘๕๐ บาท โดยแบ่งเป็น
-          ค่ารถเมล์ไม่เกิน ๖๐๐ บาท
-          ค่าโดยสารรถไฟ ๑,๐๐๐ บาท
-          ค่ารถโดยสารบริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) ๘๐๐ บาท
-          ค่าไฟฟ้า ๒๐๐ บาท
-          ค่าน้ำประปา ๑๕๐ บาท
-          ค่าสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ๑๐๐ บาท
( ข้อมูลจาก https://www.thairath.co.th/content/1015992 )


ซึ่งเดิมการอุดหนุนค่าโดยสายรถเมล์ และ รถไฟ นั้นเป็นลักษณะที่ทุกคนได้รับสวัสดิการทั้งหมด  แต่มีการจัดรถพิเศษ ขบวนพิเศษ สำหรับการจัดสวัสดิการ และสามารถใช้บริการได้ตลอดไม่จำกัดครั้ง  หากแต่เป็นลักษณะใหม่นี้ดูเหมือนเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการจะสามารถถือบัตรแล้วสามารถเอาไปเป็นส่วนลดในทุกการเดินทางที่เป็นของรัฐข้างต้นได้  และ “จำกัดจำนวนในการรับสวัสดิการ” ตามจำนวนเงินที่รัฐอุดหนุนไป
แต่ก่อนที่จะมีการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้คนจนได้มีสวัสดิการช่วยเหลือตามข้อมูลข้างต้นทางรัฐบาลเองก็ได้จัดส่งทีมงานลงเช็คข้อมูลข้อเท็จจริงถึงพื้นที่กันเลยทีเดียว  ประกอบกับการเช็คข้อมูลด้านการมีทรัพย์สินอย่างละเอียดกว่าคราวแจกเงิน ๑,๕๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท อย่างชัดเจน ซึ่งคราวก่อนนั้นไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเช่นครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ไม่เข้าเกณฑ์มีอยู่ราว ๒ ล้านคนแล้ว  อีกทั้งยังมีข้อสังเกตถึงผู้มาลงทะเบียนมีจำนวนราว ๖๐๐ คน ที่จบปริญญาเอก และอีกราว ๖,๐๐๐ คน ที่จบปริญญาโท ยังเข้าร่วมลงทะเบียนคนจนครั้งนี้ด้วย  กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมอย่างกว้างขวาง
ประเด็นนี้อีกทางผู้เขียนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกใจแต่อย่างใดที่กลุ่มคนดังกล่าวที่จะมาลงทะเบียนคนจนร่วมกับประชาชนกลุ่มอื่นๆ  เพราะการศึกษาไทยไม่ได้การันตีในเรื่องการงาน อาชีพ แต่อย่างใด   อย่าลืมว่าเกณฑ์ที่ให้มาลงทะเบียนคนจนมิได้กำหนดในเรื่องวุฒิการศึกษาแต่อย่างใด  อีกทั้งทีมที่ลงมาสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริงส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มคนที่เพิ่งจบปริญญาตรีแต่ยังไม่มีงานทำนั้นเอง
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค เป็นขบวนประชาชนที่ต่อสู้ด้านสิทธิที่อยู่อาศัย และสร้างความเป็นธรรมทางสังคม โดยมีสมาชิกเป็นคนจนในเมืองที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด หรือ “สลัม” และกลุ่มคนที่อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะ หรือ “คนไร้บ้าน” กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐอันนี้  แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้กลับแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากบัตรนี้เลยเพราะติดเงื่อนไขต่างๆที่รัฐยังไม่เคยลงมาเห็นข้อเท็จจริง
สาเหตุทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียนคนจนครั้งนี้  เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนที่ไม่ชัดเจนกับเกณฑ์ที่จะสามารถรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้ หลายชุมชนมีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย  โดยการระดมเงินกับสมาชิกแล้วฝากเงินในบัญชีชุมชน และกลุ่มคนที่ไปเปิดบัญชีนี่เองกลัวที่จะไปลงทะเบียนคนจน เพราะมีบัญชีเงินฝากเกินแสนบาท
อย่างที่สองเกณฑ์การลงทะเบียนคนจนเน้นดูจากจากทรัพย์สินเป็นหลัก คือบัญชีเงินฝาก  หากเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ คนสลัมส่วนใหญ่มีการออมเงินตนเองเพื่อเป็นการวางรากฐานสู่อนาคตส่วนใหญ่จะมีเงินฝากกันเกินแสนบาท แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะขนาดหลายแสนบาท  เพื่อเป็นเงินใช้ยามจำเป็น (ซึ่งหลายครอบครัวจะทำกัน) แต่รายละเอียดหนี้สินที่ให้เปิดเผยในใบลงทะเบียนนั้นไม่ได้นำเอามาคิดในเกณฑ์นี้ด้วย อีกทั้งรายได้การทำงานในกลางเมืองอาจจะดูตัวเลขการรับเงินนั้นสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดให้ว่ารายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี หรือราว ๘,๔๐๐ บาทต่อเดือน คนที่มีเงินเดือน หรือรายได้ต่อเดือนสูงกว่านั้นถือว่าไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อย ข้อเท็จจริงแล้วกลุ่มคนที่มีรายได้ต่อเดือน ๘,๕๐๐ – ๑๕,๐๐๐ บาท จะกลายเป็นผู้มีรายได้ปานกลางไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการแห่งรัฐครั้งนี้

และหากเป็นกลุ่มคนที่หลับนอนตามที่สาธารณะ หรือคนไร้บ้านนั้น เริ่มตั้งแต่ที่จะต้องมีการเปิดบัญชีเงินฝากที่ต้องมีเงินขั้นต่ำ ๕๐๐ บาท (ส่วนนี้ไม่ได้ออกสื่อ  แต่ผู้ไปลงทะเบียนจะรู้ทุกคนธนาคารจะให้เปิดบัญชี) หากรู้จักคนไร้บ้านแล้วเงินจำนวนดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไร้บ้านจะมีเงินติดตัว   อีกทั้งการแก้ปัญหาบัตรประชาชนของคนไร้บ้านเองยังไม่สามารถจะจัดการได้  ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถูกตัดออกไปเป็นคนรวย(จำเป็น) ไปโดยปริยาย
อีกทั้งหากสมาชิกไปลงแล้วสามารถผ่านเกณฑ์คนจนมาได้นั้น สิทธิประโยชน์ข้างต้นที่ขึ้นไว้  แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย  เนื่องจากไฟฟ้า – ประปา ของชุมชนนั้นหากยังไม่มีความมั่นคงในที่ดินการใช้ไฟฟ้า – ประปา ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อพ่วงมาจากเอกชนข้างเคียงบ้าง  ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นที่อ้างอิงการใช้ไฟฟ้า – ประปาได้
กลับมายังประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมีกลุ่มคนที่จบระดับ ปริญญาเอก และ ปริญญาโท มาร่วมลงทะเบียนครั้งนี้  สาเหตุเนื่องจากเกณฑ์การลงทะเบียนเอื้อต่อกลุ่มคนเหล่านั้นจริงๆ เพราะหากจะดูเกณฑ์กันอีกครั้งคือ
-          เป็นผู้ว่างงาน หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ในปี 2559
-          ไม่มีทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝากธนาคาร, สลากออมสิน, สลาก ธ.ก.ส., พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ หรือถ้ามีทรัพย์สินทางการเงินดังกล่าว จะต้องมีจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 100,000 บาท ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในปี 2559
-          ไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย หรือถ้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ บ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ต้องมีพื้นที่ ไม่เกิน 25 ตารางวา ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร
-          มีที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่การเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่

ทั้งนี้รายได้ หมายถึงรายได้ของบุคคลที่ลงทะเบียนเท่านั้น ในกรณีประกอบอาชีพร่วมกันทั้งครัวเรือน และไม่สามารถแยกรายได้ออกมาเป็นรายบุคคลได้ ให้ถือว่า รายได้ของครัวเรือนเป็นรายได้ของหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงคนเดียว
หากอ่านดูดีๆ คนที่เพิ่งจบการศึกษายังไม่มีงานทำ  ยังต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ รวมถึงการเป็นลูกเศรษฐี แต่ไม่มีเงินฝากในบัญชี  ล้วนแล้วแต่เข้าเกณฑ์เหล่านี้ทั้งนั้น  ตรงข้ามกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษาแต่ทำมาหากินได้รายได้มากกว่าที่กล่าวข้างต้นจะกลายเป็นคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐนี้ไปทันที  นี้คือช่องว่างเกณฑ์การเข้าช่วยเหลือโดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน  ยังไม่นับรวมถึงถ้าหากปีถัดไป  หรือระหว่างการตรวจเช็คคุณสมบัติ  เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนของกลุ่มคนที่ลงทะเบียน  มีฐานะดีขึ้น  มีงานทำที่ดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น  จะเป็นเช่นไร  และกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์กลับมีฐานะจนลง  ตกงาน  จะยังมีสิทธิ์ที่จะได้สวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่  แล้วกระบวนการจะต้องเริ่มใหม่หรือเปล่า  แล้วปัญหาข้างต้นจะแก้ไขเช่นไร   ยังคงมีคำถามอีกมากที่ประชาชนอยากจะรู้
เครือข่ายสลัม ๔ ภาค เล็งเห็นว่าการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่รัฐสวสัดิการควรจะจัดสรรแบบทั่วถึงเท่าเทียมเป็นพื้นฐานของประชาชนคนไทย  และขอปรามแนวความคิดที่จะทำต่อถึงการนำเอาสวัสดิการพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันเอาไปเข้าอยู่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี หรืออื่นๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน  เพราะนั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำไมชนชั้นกลางถึงได้มาลงทะเบียนคนจนกันเยอะ  อาจจะเป็นเพราะเกรงว่าสวัสดิการที่มีอยู่ในปัจจุบันจะถูกจัดสรรให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนคนจนเท่านั้น
สังคมจะได้ไม่ตื่นตระหนก หรือแปลกใจกับการมาลงทะเบียนคนจนของผู้จบปริญญาเอก หรือปริญญาโท  แต่ควรจะตั้งคำถามถึงว่าคนที่อยู่ในสลัม คนไร้บ้านนอนตามที่สาธารณะ คนเหล่านี้ได้สวัสดิการจากรัฐหรือไม่   รวมถึงสวัสดิการหลักที่ประชาชนได้รับอยู่แล้วจะหายไปในอนาคตหรือไม่?  การช่วยเหลือคนจนโดยนโยบายประชา(นิยม)รัฐเป็นเรื่องที่ต้องทำ  แต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนเรื่องรัฐสวัสดิการเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมองต่อ เพราะเป็นรากฐานระยะยาว  ดังนั้นกรอบการช่วยเหลือโดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ควรเป็นแนวทางไปสู่รัฐสวัสดิการ  เครือข่ายสลัม ๔ ภาคเห็นว่า รัฐสวัสดิการควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนจะต้องได้รับอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทุกชนชั้น !!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม

  ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภัยเงียบของกลุ่มคนจนที่ดินแปลงรวม คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลาขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค “ที่ดิน” ทรัพยากรอันมีจำก...