นโยบายไร้การมีส่วนร่วมของประชาชน
คือ นโยบายที่ไร้ประโยชน์สำหรับประชาชน
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่อยู่อาศัยโลกที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเอาไว้ว่า
วันจันทร์แรก ของเดือนตุลาคม ของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก
เพื่อให้ประชาคมโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อสิทธิที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมวลมนุษยชาติ แต่กลับเกิดการขาดแคลน , ไม่มั่นคง , แย่งชิง
ที่ดินที่อยู่อาศัยในทั่วทุกประเทศ
ที่ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
ซึ่งปีนี้วันที่อยู่อาศัยโลกจะตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้จัดงานรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกขึ้นทุกปี โดยการรณรงค์แต่ละครั้งจะมีสมาชิกของเครือข่ายสลัม
4 ภาค เข้าร่วมหลายพันคนเพื่อจะยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล และผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ ลักษณะการรณรงค์จะเป็นการเดินรณรงค์บนท้องถนน แต่เนื่องจากในปีนี้ช่วงเดือนตุลาคม ประเทศไทยจะมีพระราชพิธีสำคัญ เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงงดการจัดรณรงค์ลักษณะดังกล่าวเพื่อร่วมการไว้อาลัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ราชกาลที่ 9 มาจัดกิจกรรมแถลงข่าวรายงานสถานการณ์ความเดือดร้อนในด้านสิทธิที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่ชุมชนแทน
ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560
(ภาพการเดินรณรงค์วันที่อยู่อาศัยโลก
ของเครือข่ายสลัม 4 ภาค)
แต่กระนั้นสถานกาณ์ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยที่ไม่มั่นคงยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง
นโยบายการพัฒนาด้านต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย
ที่ทำกินของคนจนยังคงมีมา
แต่ตรงข้ามในด้านการช่วยเหลือเยียวยา
การแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้น ระยะยาว
รัฐบาลชุดนี้กลับไม่มีทีท่าแข็งขัน
จากข้อมูลการสำรวจชุมชนแออัดประเทศไทยมีชุมชนแออัดทั่วประเทศ ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องการมหาชน) ในปี พ.ศ. 2556 ชุมชนแออัด มีจำนวน 6,334 ชุมชน ประชากรรวม 1,630,477
ครัวเรือน
โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่ไม่มั่นคงในที่ดินที่อยู่อาศัยจำนวน 728,639
ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 44.69 ของจำนวนทั้งหมด
รัฐบาลได้ออกนโยบายเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในแต่ละนโยบายหากดูโดยลึกแล้วไม่ใช่การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเอื้ออาทร หรือ โครงการที่สร้างที่อยู่อาศัยโดยรัฐ
แล้วเปิดให้ประชาชนมาจอง ผ่อนซื้อ ในราคาที่ถูกผ่อนระยะยาว
เอาเข้าจริงจำนวนหน่วยที่ขายออกเยอะ ทำเลดีๆ
ส่วนใหญ่แล้วมาจากกลุ่มเก็งกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ ได้ใบจองกับไปหมดแล้วไปปล่อยขาย
หรือซื้อไว้เพื่อเปิดเป็นห้องเช่าเพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งของกลุ่มคนเหล่านั้น
ส่วนคนจนไม่สามารถจะเข้าถึงได้จริงเพราะติดปัญหาทั้งในด้านรายได้ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน
ไม่มีเครดิตดีพอที่จะผ่านสินเชื่อในการซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการได้
ส่วนโครงการบ้านมั่นคง
ที่มีลักษณะดำเนินการที่เกือบจะลงตัวในด้านการบริหารจัดการ การเข้าถึงสินเชื่อ
เพราะใช้กลุ่มออมทรัพย์ในการสร้างเครดิตให้กับชุมชนเองได้ แต่ปัญหาที่เกิดคือ “ที่ดิน”
โครงการบ้านมั่นคงสนับสนุนในด้านงบประมาณเป็นหลัก
แต่ไม่มีที่ดินให้มาด้วยดังนั้นการหาที่ดินจึงเป็นภาระของชาวบ้านจะต้องไปหาเอง “หากจะซื้อที่ดินในเมืองราคาก็แสนแพง หากจะขอใช้ที่ดินรัฐก็แสนหวง”
การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยจึงไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน วนในอ่างไม่คืบหน้าอย่างชัดเจน
นี่คือตัวอย่างข้างต้นในการคิดนโยบายเพื่อจะแก้ปัญหาแต่ไม่ถูกจุด ส่งผลให้ผู้ที่ควรจะได้รับประโยชน์ไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย หากแต่ปัญหาของคนจนเมืองไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องที่อยู่อาศัย ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวันนั้น รัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายการช่วยเหลือคนจนรากหญ้า มาตรการ “ลงทะเบียนคนจน” อีกหนึ่งนโยบายที่พยายามจะมาแก้ปัญหาปากท้องช่วยเหลือคนจนรากหญ้า แต่กลับกลายเป็นนโยบายที่ดำเนินงานแล้วกลุ่มเป้าหมายไม่สามารถเข้าถึงได้จริง ดังเช่นที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้เคยกล่าวไว้ใน (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่รัฐสวัสดิการ https://www.citizenthaipbs.net/node/21390)
สิ่งที่กังวลไว้กลับเป็นจริงขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ลงทะเบียนคนจน จากเกณฑ์คุณสมบัติที่หละหลวมส่งผลให้คนจนหลายส่วนไม่ได้เป็น
“คนจน” ตามข้อเท็จจริงได้ ทีมกองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
ได้ตรวจสอบข้อมูลกลุ่มคนที่ไปลงทะเบียนคนจนว่ามีท่านใดบ้างที่ผ่าน ,
ท่านใดบ้างที่ไม่ผ่าน หรือท่านใดบ้างที่ไม่ได้ลงทะเบียน ปรากฏข้อมูลไม่เป็นทางการคือ
ลุงดำ
นายกสมาคมคนไร้บ้าน มีอาชีพเก็บของเก่าเป็นวันๆไป
อาศัยอยู่ศูนย์พักคนไร้บ้านชั่วคราวตลิ่งชัน
ได้ลงทะเบียนคนจนที่สำนักงานเขตตลิ่งชัน
หลังจากได้กำหนดตรวจสอบการลงทะเบียนว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ ปรากฏว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ด้วยสาเหตุมีเงินในบัญชีเกิน
100,000 บาท ซึ่งบัญชีเงินฝากที่มีชื่อลุงดำนั้น
เป็นบัญชีส่วนกลางของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ที่ได้รับความไว้วางใจเป็นผู้แทน 1 ใน 3
คน ไปเปิดบัญชี ซึ่งกรณีแบบลุงดำ
เป็นหนึ่งในหลายคนที่ประสบ เพราะเนื่องจากการรวมกลุ่มชุมชนโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการออมทรัพย์กองทุนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย แก้ปัญหาปากท้อง สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ทำให้ต้องมีการเปิดบัญชีชุมชน และต้องมีผู้แทนชุมชน ผู้แทนกลุ่ม
ไปเปิดบัญชีชุมชน 3 – 5 คน ต่อบัญชี หากชุมชนไหนมีหลายกองทุน
ก็จะต้องเปิดหลายบัญชี คนจนเหล่านี้ที่เสียสละให้ชุมชนกลับได้รับรางวัลจากรัฐบาลด้วยการตัดสิทธิ์ความเป็นคนจนไป
การตรวจสอบสิทธิ์การลงทะเบียนคนจน
ผ่านเวปไซค์ ของนายสุชิน เอี่ยมอินทร์
(นายกสมาคมคนไร้บ้าน)
ถึงแม้จะมีช่องให้ยื่นอุทธรณ์
แต่ก็ไม่ได้บอกกระบวนการการตรวจสอบอุทธรณ์ว่ากระบวนการเป็นเช่นไร หากเป็นกระบวนการกดคอมพิวเตอร์ตามเดิม
ข้อมูลของธนาคารก็ยังคงแสดงให้เห็นชัดว่า ลุงดำ มีบัชีเงินฝากเกิน 100,000 บาท
จริง และผลต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น ???
เพราะเนื่องจากการอุทธรณ์ ได้มีคำเตือนแกมขู่เอาไว้
หากให้ข้อมูลเป็นเท็จจะสามารถนำไปดำเนินคดีได้ หากลุงดำ อุทธรณ์ว่าเขาไม่มีเงินในบัญชีถึงแสนบาท
แต่หน่วยงานเช็คทางคอมพิวเตอร์แล้วเกินแสนบาท ลุงดำ จะต้องถูกดำเนินคดีหรือไม่ นี่คืออีกหนึ่งอย่างที่ประชาชนกังวลที่จะต้องมาอุทธรณ์
เพราะกระบวนการอุทธรณ์ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ว่าเป็นเช่นไร หากเรียกสัมภาษณ์รายคน จะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่เพราะจำนวนคนที่ตกหล่นราว
3 ล้านคน มีกรณีเช่นลุงดำจำนวนเท่าไหร่
ภาพการแสดงทางเวปไซค์ที่ให้ประชาชนยื่นอุทธรณ์การลงทะเบียนคนจนไม่ผ่านเกณฑ์
ส่วนคนไร้บ้าน ที่อาศัยหลับนอนตามที่สาธารณะ บางคนที่มีบัตรประชาชนแต่ไม่ได้ลงทะเบียน โดยส่วนใหญ่บอกว่าไม่รู้จะไปยังไง
บ้างบอกว่ารู้อีกทีก็หมดเขตการลงทะเบียนแล้ว
เพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ได้เข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้อย่างทั่วถึง ส่วนคนไร้บ้าน
ที่พักอาศัยตามศูนย์ต่างๆของเครือข่ายคนไร้บ้านส่วนใหญ่จะลงทะเบียนกัน แต่หากใครเป็นผู้รับหน้าที่แบบ ลุงดำ ข้างต้น
ก็จะถูกคัดออกเช่นเดียวกัน
แต่ที่น่าเศร้าที่สุด
ที่ไม่ได้เขียนไว้ในคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนคือ จะต้องมีเงินเปิดบัญชีธนาคาร
(ซึ่งขั้นต่ำที่ธนาคารรับเปิดบัญชีคือ 500 บาท) คนจนที่ไม่มีแม้กระทั่งเงินเปิดบัญชีก็จะถูกคัดออกจากความเป็นคนจนด้วยเช่นกัน
นี่เป็นอีกปรากฎการณ์ในการคิดนโยบายมาแต่ไม่คิดให้รอบด้านว่าประเทศไทยนั้นมีคนจนประเภทใดบ้าง และกลุ่มคนเหล่านั้นมีข้อจำกัดการเข้าถึงสวัสดิการที่รัฐจะจัดได้หรือไม่
ขั้นตอนการอุทธรณ์
และหลังจากที่รัฐได้เริ่มแจกบัตร พร้อมทั้งความชัดเจนถึงสวัสดิการภายในบัตรจะสามารถช่วยลดค่าครองชีพด้านใดได้บ้าง ก็เกิดคำถามขึ้นมากมายในการใช้บัตร ซึ่งมีความแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างคนจนต่างจังหวด กับคนจนในกทม.และจังหวัดใกล้เคียง 7 จังหวัด จะได้สิทธิการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ต่างกันออกไป
คือ ผู้ที่ลงทะเบียนที่ไม่ได้อยู่ใน 7 จังหวัด ดังกล่าวไม่สามารถนำบัตรมาใช้ขึ้นรถไฟฟ้า
, รถเมล์ ขสมก. ได้ เพราะบัตรถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนมีภูมิลำเนาใน
7 จังหวัด
แต่ผู้ที่คิดค้นเกณฑ์การแบ่งแยกไม่แน่ใจว่าเข้าใจถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานในประเทศไทยในปัจจุบันหรือไม่ ระบบคมนาคมที่ได้รับการพัฒนาที่ทำให้ประชาชนสามารถเคลื่อนย้ายภายในประเทศได้อย่างสะดวก และกลุ่มประชากรแฝงที่อาศัยอยู่ใน 7
จังหวัดนั้น ก็มีจำนวนมากที่เป็นทั้งแรงงานในระบบ และนอกระบบ ถึงแม้รัฐบอกว่าสามารถแจ้งเปลี่ยนที่อยู่อาศัยเพื่อมาขอรับบัตรใหม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่จะทำบัตรใหม่ภาระตกอยู่ที่ใคร
ประชาชนต้องควักจ่ายสดเอง หรือ รัฐรับทำให้โดยใช้ภาษีจ้างบริษัททำใหม่ สุดท้ายก็คือประชาชน ระยะเวลาที่กว่าจะได้บัตรใหม่
ช่วงเวลาที่ทำให้คนกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถใช้สิทธิได้เหมือนคน 7 จังหวัด
ส่วนนี้จัดการความรับผิดชอบอย่างไร
ยังไม่มีความชัดเจนในการรองรับการแก้ปัญหาดังกล่าว
สิทธิต่อมาคือการลดค่าครองชีพการซื้อของจับจ่ายอุปโภค
บริโภค ต่างๆ (ยกเว้น เหล้า บุหรี่) ซึ่งแบ่งให้เป็นสองกลุ่มคือ
กลุ่มที่มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี กับกลุ่มที่มีรายได้เกินกว่านั้น
จะมีวงเงินต่อเดือน 300 บาท และ 200 บาท ตามลำดับกลุ่มต่อเดือน หรือ 3,600 บาท และ
2,400 บาท ต่อปี
ถึงแม้นจะเป็นเงินไม่เยอะแต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระในครอบครัวได้ระดับหนึ่ง
แต่ติดปัญหาอุปสรรคคือร้านค้าที่ประชาชนจะสามารถไปจับจ่าย ซื้อของนั้น
ต้องเป็นร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น อยู่ที่ไหน ??? จะรู้ได้อย่างไร ??? เพียงพอทั่วถึงหรือไม่
???
รายการให้ความช่วยเหลือจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
จากที่
รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการรับสมัครร้านค้าปลีกดั้งเดิม
(โชห่วย) เพื่อเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐจำหน่ายสินค้าธงฟ้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
มีร้านค้าทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการแล้ว 4,506
แห่ง และคาดว่า ภายในวันที่ 1 ต.ค.2560
จะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการทั่วถึงตามเป้าหมายครอบคลุมอย่างน้อยตำบลละ
1 ร้านค้า และมีเป้าหมายให้ร้านค้ากระจายทั่วถึงไม่ต่ำกว่า 2
หมื่นร้านค้า แต่หากดูปริมาณเทียบกับผู้ที่ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนกว่า
11 ล้านคน จะเพียงพอ หรือ ทั่วถึงหรือไม่
หรือร้านค้าจะกระจุกอยู่เพียงในเมืองของจังหวัด ของตำบลนั้นๆ
หากหมู่บ้านที่ไกลออกไปจะคุ้มการลงทุนเดินทางไปหรือไม่ ??? ยกตัวอย่างเช่น
ขณะนี้จังหวัดอุบลราชธานี มีผู้ผ่านเกณฑ์อยู่ราว 400,000 คน ทางรัฐได้เตรียมเครื่องรูดบัตรไว้
420 เครื่อง ซึ่งประมาณว่าร้านละ 1 เครื่อง ก็คือ 420 ร้านค้า แต่ตอนนี้ดำเนินการติดตั้งไปแล้ว
23 เครื่อง
ดูจากสัดส่วนตัวเลขแล้วเกรงว่าคนจนในจังหวัดอุบลราชธานีจะมีร้านค้าทั่วถึงให้ทุกคนสามารถใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้หรือไม่
??? หรือนโยบายเหล่านี้ที่ออกมาให้มีกฎเกณฑ์เยอะ
ประชาชนใช้ลำบาก และจำกัดกลุ่ม เป็นนโยบายเพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล ???
นโยบายเหล่านี้ออกมาจากการ
“คิดเอาเอง” ของผู้ปกครองที่ไม่เคยสัมผัสกับคนจนที่มีความหลากหลายในประเทศ ทำให้กลุ่มชายขอบต่างๆ
เข้าไม่ถึงนโยบายการช่วยเหลือจากรัฐ
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ยังคงจับตามองการดำเนินการต่อของรัฐบาลถึงการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ทำให้กังวลไปถึงคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง 11
คณะ ที่มีการแต่งตั้งกันมา
โดยไม่มีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
และผู้แทนที่เข้าไปส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเสียส่วนใหญ่ เกรงว่าหากถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างครบถ้วน
แต่การออกแบบนโยบายแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชนในแต่ละกลุ่มนั้นจะมีปัญหาดั่งเช่นนโยบายที่ผ่านมาหรือไม่ หรือจะเลือกรับฟังเสียงประชาชนให้มาก เปิดใจรับฟังอย่างไร้อคติ เพื่อมีทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ตรงจุด
สอดคล้องกับผู้เดือดร้อนได้อย่างยั่งยืน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น