สิทธิที่อยู่อาศัย คือสิทธิมนุษยชน
คมสันติ์ จันทร์อ่อน กองเลขาเครือข่ายสลัม 4 ภาค
“นกต้องมีรัง
คนต้องมีบ้าน”
นี่คือสัจจธรรมของมนุษย์
ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษยชาติ ทุกคนต้องมีที่อยู่อาศัยไว้พักพิง หลบแดด หลบฝน ขณะที่สถานการณ์การแย่งชิงทรัพยากรที่ดินทั่วทุกมุมโลกกับรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ส่งผลให้มีคนจำนวนมากไม่มีที่ดินที่เอาไว้สร้างที่อยู่อาศัย หรือมีที่อยู่อาศัยที่ไม่มีความมั่นคง เป็นชุมชนแออัด (Slum) หรือต้องหลับนอนตามข้างทาง ตามที่สาธารณะ
เป็นคนไร้บ้าน (Homeless) ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเอาไว้เมื่อปี
ค.ศ. 1989 ( พ.ศ. 2532 ) ให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก ในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560
องค์การสหประชาติประกาศเพื่อให้ประชาคมโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัญหาวิกฤตทั่วทุกสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมือง หรือสังคมชนบท
หากมองสถานการณ์ที่อยู่อาศัยในประเทศไทย
หลังจากที่มีการเข้ายึดอำนาจและบริหารประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) ที่จะเข้ามาปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างความห่างระหว่างคนจน กับ คนรวย แต่นโยบายที่ออกมา กับการปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ กลับสวนทางกัน โดยกลุ่มคนจนชนบทได้รับผลกระทบจากคำสั่ง
คสช. 64/2557 และนโยบายทวงคืนผืนป่า
ที่จะผลักดันผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตป่าออกมา
รวมทั้งการขีดแนวเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดต่างๆ เกิดขบวนการปั่นราคาที่ดิน กว้านซื้อที่ดิน เวนคืนที่ดิน
เพื่อให้มีการลงทุนระยะยาวจาทุนใหญ่ในประเทศและทุนข้ามชาติ
นโยบายเหล่านี้ล้วนแล้วส่งผลให้เกิดหมู่บ้านชนบทล่มสลาย กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆแตกสลาย
ต้องอพยพเข้ามาหาที่อยู่อาศัยในตัวเมืองในหลายจังหวัด หากจะดูในจังหวัดเชียงใหม่จะพบกลุ่มชนเผ่าต่างๆมาพักอาศัยในชุมชนแออัดในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่มากขึ้น
ในส่วนของชุมชนเมือง
นโยบายที่อ้างถึงการพัฒนาประเทศ , การจัดระเบียบต่างๆ
ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของคนจนเมืองเป็นอย่างมาก
1. โครงการพัฒนาคมนาคมระบบราง
ซึ่งมีหลายโครงการ
แต่ที่กำลังจะดำเนินการและยังไม่ได้ข้อยุติข้อพิพาทด้านผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย
คือ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทาง สุราษฎร์ธานี – หาดใหญ่ – สงขลา ,
โครงการก่อสร้างรถไฟชานเมือง สายสีแดง เส้นทาง ศิริราช – ตลิ่งชัน ,
โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กทม. – หนองคาย
ซึ่งจะมีประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว ราว 7,000 ครัวเรือน
2. โครงการจัดระเบียบชุมชนริมคลอง ,
ริมแม่น้ำ
รัฐบาลได้ออกนโยบายจัดระเบียบชุมชนริมคลองลาดพร้าว และริมคลองเปรมประชากร
จำนวนกว่า 11,000 หลังคาเรือน และนโยบายการจัดระเบียบชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราว
250 หลังคาเรือน
รวมทั้งออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีบ้านเรือนปลูกสร้างริมน้ำอีกต่อไปในอนาคต ซึ่งกฎหมายดังกล่าวส่งผลต่อชุมชนริมน้ำทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นชุมชนเมือง หรือ หมู่บ้านชาวเล ที่จะต้องรื้อย้ายที่อยู่อาศัยออกจากริมน้ำทั้งหมด
3.
โครงการพัฒนาย่านเศรษฐกิจใหม่
โดยมีโครงการเขตเศรษฐกิจย่านสถานีแม่น้ำ โดยใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
เนื้อที่กว่า 270 ไร่ มูลค่าการลงทุนกว่า 90,000 ล้านบาท
และโครงการคลองเตยคอมเพล็กซ์ โดยใช้ที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เนื้อที่กว่า
2,300 ไร่ มูลค่าการลงทุนกว่า 100,000
ล้านบาท
โดยการลงทุนทั้งสองโครงการมีแนวโน้มจะเป็นการลงทุนของทุนข้ามชาติเป็นหลัก
ซี่งส่งผลโดยตรงกับชุมชนแออัดที่อยู่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชุมชนย่านคลองเตย ,
ชุมชนย่านเขตพระราม 3 ล้วนได้รับผลกระทบทั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากิน
4.
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่มีแนวนโยบายการพัฒนาด้านต่างๆ
พาดผ่านตามแนวเส้นทางต่างๆ
ส่งผลให้พื้นที่ใกล้เคียงมีการเก็งกำไรด้านอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
จากชุมชนแออัดที่เคยอยู่กันมานานจากที่ดินไม่มีราคาเจ้าของที่ดินไม่สนใจปล่อยให้อยู่อาศัย เจ้าของที่ดินเริ่มประกาศขายที่ดิน หรือไม่ก็จะยกเลิกการให้อยู่อาศัยของชาวชุมชน
เพื่อจะนำที่ดินมาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เองส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของที่ดิน มีการแย่งชิงที่ดินรุนแรงขึ้น ยังไม่นับรวมถึงการใช้ที่ดินของรัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุนของเอกชนรายใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน สปก. หรือที่ดินสาธารณะ
ในขณะที่คนจนพยายามขอใช้ที่ดินเหล่านั้นเพื่อเป็นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย กับต้องมาเจอเงื่อไขต่างๆจนไม่สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งจะต่างจากเอกชนรายใหญ่ในการขอใช้ที่ดินที่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า และสามารถได้กรรมสิทธิที่ดินได้จริง
ดังนั้นเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก
ที่เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้จัดการเดินรณรงค์เพื่อให้สาธารณะได้เข้าใจถึงความสำคัญต่อที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลทุกปี แต่เนื่องจากในปีนี้เดือนตุลาคม มีพระราชพิธีสำคัญยิ่งที่ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงเลื่อนกิจกรรมเดินรณรงค์ไปเป็นวันจันทร์ที่ 6
พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
โดยข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย มีดังนี้
1.
รัฐบาลต้องสนับสนุนที่ดินของรัฐนำมาแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนเมือง
เช่น ที่ดินสาธารณะ ที่ดินของการรถไฟฯ ที่ดินของการท่าเรือ
มาแบ่งปันให้ชุมชนได้เช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่มั่นคงระยะยาว
2.
รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณ
และกระบวนการ ในการแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคง ที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการพัฒนาชุมชน อย่างต่อเนื่อง
3.
ตั้งกลไกการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยตามหน่วยงานที่กำกับดูแลระดับนโยบาย
เช่น กระทรวงคมนาคม หรือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีรัฐมนตรีประจำกระทรวงเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาร่วมกับชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
4.
แก้ไข
, ยกเลิก , งดเว้น กฎหมายต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย
และวิถีความเป็นอยู่ของคนจนเมือง เช่น กฎหมายไล่รื้อจาก คณะปฎิวัติที่ 44 ปี 2502
ที่ตัดสิทธิ์การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประชาชน และคำสั่งจาก คสช. ฉบับต่างๆด้วย
5.
ผ่อนปรน
, งดเว้น
กฎหมายต่างๆที่ส่งผลต่อการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ของคนจนเมืองในพื้นที่ขนาดเล็ก
ตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคงที่คนจนมีศักยภาพในการมีที่ดินขนาดเล็ก
แต่ทำให้ผิดกฎหมายผังเมือง และกฎหมายควบคุมการปลูกสร้างอาคาร
6.
การสร้างความมั่นคงในระยะยาวรัฐบาลต้องสร้างสวัสดิการพื้นฐานทางชีวิตของประชาชนให้มั่นคงควบคู่ไปด้วยคือ
6.1 รัฐบาลต้องสนับสนุนหลักประกันสุขภาพอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง ถ้วนหน้า
6.2 รัฐบาลต้องผลักดันให้เกิดบำนาญแห่งชาติ
เพื่อดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย
6.3 รัฐบาลต้องสนับสนุนให้เกิดกองทุนการรักษาพยาบาลสำหรับคนไทยที่ไม่มีบัตร อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ยังคงเชื่อมั่นในพลังการรวมกลุ่มเพื่อการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย และจะติดตามการแก้ปัญหาที่ดิน
ที่อยู่อาศัยของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากรัฐบาลมีความจริงใจในการลดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบาย
และปฎิบัติการที่ทำได้จริงมาให้ประจักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น